คาสิโนออนไลน์

คาสิโนออนไลน์
คาสิโนออนไลน์

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2562

ร็อดเจอร์ส ขอพาเลสเตอร์เฮ3นัดติด! "วาร์ดี้" พร้อมยิงบอร์นมัธ

ร็อดเจอร์ส เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือฝีมือดีลุ้นพา "จิ้งจอกสีน้ำเงิน"

ร็อดเจอร์ส  เลสเตอร์ ซิตี้ เก็บชัยเกมลีก 3 นัดติดโดยมี เจมี่ วาร์ดี้ พร้อมปิดสกอร์นัดรับแข้ง บอร์นมัธ ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ช่วงค่ำวันเสาร์ที่ 30 มี.ค. ศกนี้ ถ่ายทอดสด : beIN SPORTS 3, เวลา : 22.00 น.
ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม 2562
เลสเตอร์ ซิตี้   -   บอร์นมัธ
ถ่ายทอดสด : beIN SPORTS 3, เวลา : 22.00 น.

สนาม : คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม
    เบรนแดน ร็อดเจอร์ส พาทีมจิ้งจอกโชว์ฟอร์มได้ดีในช่วงนี้ โดยชนะ 3 จาก 4 เกมล่าสุด 2 สัปดาห์ก่อนบุกไปชนะ เบิร์นลี่ย์ ได้ 2-1 ทั้งที่เหลือ 10 คนตั้งแต่ไก่โห่

    แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ปราการหลังทีมชาติอังกฤษ ที่โดนไล่ออกในเกมนั้นตั้งแต่ น.4 จะติดโทษแบน และ เวส มอร์แกน จะรับหน้าที่ยืนเซนเตอร์แบ็กแทน โดยจะจับคู่กับ จอนนี่ อีแวนส์

    แดเนียล อามาร์ตีย์ (ข้อเท้า/เท้า) และ มาร์ค อัลไบรท์ตัน (เอ็นหลังหัวเข่า) ยังเป็นสองผู้เล่นที่ไม่อาจจะลงสนามได้ในเกมนี้

    แนวรุกวาง เจมส์ แมดดิสัน, ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ และ เจมี่ วาร์ดี้ ประสานร่วมกัน

    ฟาก เอ็ดดี้ ฮาว กุนซือเดอะ เชอร์รี่ส์ พาทีมเก็บ 4 แต้มจาก 2 เกมล่าสุดอยู่อันดับ 12 มี 38 แต้มไม่เดือดร้อนต่อการตกชั้น โดยฟอร์มล่าสุดโดน นิวคาสเซิ่ล ตีเสมอ 2-2 น.95 อย่างน่าเจ็บใจ


    บอร์นมัธยังประสบปัญหานักเตะบาดเจ็บเยอะเหมือนเดิมที่ลงเล่นไม่ได้แน่ๆ ก็คือ ไซม่อน ฟรานซิส (เข่า), ลูอิส คุ้ก (เข่า), อดัม สมิธ (เอ็นหลังหัวเข่า), แดน กอสลิ่ง (เข่า) และ สตีฟ คุ้ก (โคนขาหนีบ)

    แอนดรูว์ เซอร์แมน กับ จูเนียร์ สตานิสลาส สองมิดฟิลด์สำคัญก็ต้องลุ้นอย่างหนัก และมีแนวโน้มสูงว่าจะลงเล่นไม่ได้ด้วย

    ดังนั้นบอร์นมัธน่าจะมาชุดเดิมกับทีมเสมอ นิวคาสเซิ่ล เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนนั่นเอง โดย คัลลั่ม วิลสัน และ โจชัว คิง จะยืนเป็นกองหน้าคู่กัน

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
    เลสเตอร์ (4-5-1) : แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล - ริคาร์โด้ เปเรยร่า, จอนนี่ อีแวนส์, เวส มอร์แกน, เบน ชิลเวลล์ - เดมาไร เกรย์, ยูริ ตีเลม็องส์, วิลฟรีด เอ็นดิดี้, เจมส์ แมดดิสัน, ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ - เจมี่ วาร์ดี้
    ผู้จัดการทีม : เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

    บอร์นมัธ (4-4-2) : อาร์เทอร์ โบรุก - เนธาเนียล ไคลน์, คริส เมพแฮ่ม, นาธาน อาเก้, ชาร์ลี แดเนียลส์ - จอร์ดอน ไอบ์, เดวิด บรู๊คส์, เจฟเฟร์ซอน เลร์ม่า, ไรอัน เฟรเซอร์ - โจชัว คิง, คัลลั่ม วิลสัน
    ผู้จัดการทีม : เอ็ดดี้ ฮาว

    ผู้ตัดสิน : ลี เมสัน

เกร็ดเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
- เลสเตอร์ เสมอมาตลอด 3 นัดหลังสุดที่พบบอร์นมัธรวมทุกรายการ
- เลสเตอร์ มีสกอร์รวมสูงกว่า 2.5 มาตลอด 6 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
- มีสกอร์รวมต่ำกว่า 2.5 ตลอด 3 นัดหลังสุดที่เลสเตอร์เปิดบ้านพบบอร์นมัธรวมทุกรายการ
- บอร์นมัธ ไม่แพ้เลยตลอด 7 นัดหลังสุดที่พบเลสเตอร์รวมทุกรายการ

ผลการพบกันที่ผ่านมา
วันเดือน/ปี รายการ ผลการแข่งขัน
15/09/18    พรีเมียร์ลีก    บอร์นมัธ    4 - 2 เลสเตอร์ ซิตี้   
03/03/18    พรีเมียร์ลีก    เลสเตอร์ ซิตี้     1 - 1 บอร์นมัธ   
30/09/17    พรีเมียร์ลีก    บอร์นมัธ    0 - 0 เลสเตอร์ ซิตี้       
21/05/17    พรีเมียร์ลีก    เลสเตอร์ ซิตี้     1 - 1 บอร์นมัธ   
14/12/16    พรีเมียร์ลีก    บอร์นมัธ    1 - 0 เลสเตอร์ ซิตี้
02/01/16    พรีเมียร์ลีก    เลสเตอร์ ซิตี้     0 - 0 บอร์นมัธ   
29/08/15    พรีเมียร์ลีก    บอร์นมัธ    1 - 1 เลสเตอร์ ซิตี้

ผลงาน 5 นัดหลัง
เลสเตอร์ ซิตี้
16/03/19    ชนะ เบิร์นลี่ย์ 2-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
09/03/19    ชนะ ฟูแล่ม 3-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
03/03/19    แพ้ วัตฟอร์ด 1-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
26/02/19    ชนะ ไบรท์ตัน 2-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
24/02/19    แพ้ คริสตัล พาเลซ 1-4 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก

บอร์นมัธ
16/03/19    เสมอ นิวคาสเซิ่ล 2-2 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
09/03/19    ชนะ ฮัดเดอร์สฟิลด์ 2-0 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
02/03/19    แพ้ แมนฯ ซิตี้ 0-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
27/02/19    แพ้ อาร์เซน่อล 1-5 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
23/02/19    เสมอ วูล์ฟแฮมป์ตัน 1-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2562

รัวซงปาร์กเดือด! ลียงสถิติข่มส่ง"เดอปาย"บุกท้าดวลแรนส์

รัวซงปาร์กเดือด บรูโน่ เชเนซิโอ เทรนเนอร์ลียง ฟอร์มล่าสุด สยบมงต์เปลลิเย่ร์ เป็นการเฮนัดแรกในรอบ 3 เกม

รัวซงปาร์กเดือด หลังสุด ความพร้อมจัดเต็มมี เมมฟิส เดอปาย บัญชาทัพลุย ทางด้าน ฌูเลียง สเตฟ็อง กุนซือ แรนส์ ผลงานไม่เบา ไม่แพ้ 3 เกมติดต่อกัน มี ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา เป็นตัวความหวัง ในศึกฟุตบอล ลีกเอิง ฝรั่งเศส คืนวันศุกร์ที่ 29 มี.ค. นี้
ปรีวิวฟุตบอล ลีกเอิง ฝรั่งเศส นัดที่ 30
วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2562
แรนส์ (8) - โอลิมปิก ลียง (3)
ถ่ายทอดสดเวลา 02.45 น. : บีอิน สปอร์ตส์ 4
สนาม : รัวซง ปาร์ก

    แรนส์ทีมอันดับ 8 ลีก เอิง ฝรั่งเศสจะเปิดรัวซง ปาร์ก แคว้นเบรอตาญ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ รับการมาเยือนของ โอลิมปิก ลียง ทีมอันดับ 3 ในลีก เอิง คู่แรกของนัดที่ 30

    ทั้งสองทีมเจอกันที่บ้านแรนส์ในลีก เอิง นับตั้งแต่ปี 1932 จนถึงตอนนี้ 46 ครั้ง เจ้าถิ่นชนะ 20 ยิง 76 ประตู เสมอ 10 ทีมเยือนชนะ 16 ทำได้ 60 ประตู โดยแรนส์ไม่ชนะที่บ้านตัวเองเมื่อเจอลียง ในลีก เอิง นับตั้งแต่ฤดูกาล 2013-2014 และพบกันล่าสุดที่นี่ในลีก เอิงเมื่อวันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2017 ลียงบุกมาชนะ 2-1 ในนัดที่ 2 ซีซั่นที่แล้ว

    ฌูเลียง สเตฟ็อง เทรนเนอร์แรนส์วัย 38 ปี นำทีมไม่ชนะ 2 นัดซ้อน ล่าสุดเสมอนัดเยือน บอร์กโดซ์ 1-1 ในลีก เอิง นัดที่ 29 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม แต่พวกเขาไม่แพ้ 3 เกมติดต่อกันในลีก 

    ทีมขาด 3 นักเตะตัวหลักทั้ง รามี่ เบนเซอไบนี่ แบ็กซ้ายแอลจีเรีย, อมารี่ ตราโอเร่ แบ็กขวา, แบ็งฌาแม็ง บูริโชด์ มิดฟิลด์ ต่างติดโทษแบนคนละ 1 นัด จากการสะสมใบเหลืองครบ 3 ใบ ตามโควตา ในการลงเล่น 10 เกมหลังสุด


    ส่วน จอร์ดาน ซีบาตเชอ กองหน้าบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาขวา, อับดูลาย ดิยัลโล่ นายทวารเซเนกัลบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขา, ลูโดวิซ บาล กองหลังบาดเจ็บกล้ามเนื้อฉีก, ราฟิค กีตาน มิดฟิลด์ตัวรุกวัย 19 ปี บาดเจ็บหัวเข่าซ้าย, โรแม็ง ด็องเซ่ แบ็กขวาวัย 32 ปี บาดเจ็บหัวเข่าขวา
 
    ขณะที่ ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา มิดฟิลด์ตัวรุกกับ เมห์ดี้ เซฟฟาน กองหลังแอลจีเรียจะกลับมาลงสนาม

    บรูโน่ เชเนซิโอ เทรนเนอร์ลียงวัย 52 ปี นำทีมชนะนัดแรกในรอบ 3 เกมหลังสุด เมื่อเปิดบ้านสยบมงต์เปลลิเย่ร์ 3-2 ในลีก เอิง นัดที่ 29 เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม

    เวลานี้ทีมได้ แอนโธนี่ โลเปส นายทวารโปรตุเกสหายจากการที่สมองได้รับความกระทบกระเทือนกลับมาฝึกซ้อมได้แล้ว

    อีกทั้งนักเตะหลายคนกลับมาจากการเล่นทีมชาติอย่าง ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล่, อุสเซม อาอูอาร์, มุสซ่า เดมเบเล่ สามนักเตะฝรั่งเศส รวมถึง เมมฟิส เดอปาย ดาวเตะทีมชาติฮอลแลนด์

    ทว่า แฟร์กล็องด์ เมนดี้ แบ็กซ้ายทีมชาติฝรั่งเศสบาดเจ็บเอ็นร้อยหวาย, อามีน ชุยรี่ หัวหอกวัย 19 ปี บาดเจ็บเอ็นหัวเข่าซ้าย 

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม 

    แรนส์ : โทมัส คูเบ็ค - เมห์ดี้ เซฟฟาน, ดาเมียง ดา ซิลวา, เมเซอร์, เฌเรมี่ เฌแล็ง - แบ็งฌาแม็ง อองเดร (กัปตันทีม), เกลม็องต์ เกรอนิเย่ร์ - อิสไมล่า ซาร์, ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา, อาเดรียง อูนู -  เอ็มบาย เนียง

    โอลิมปิก ลียง : แอนโธนี่ โลเปส - เลโอ ดูบัวส์, มาร์เซโล่, เจสัน เดนาเยอร์, แฟร์นาโด มาร์ซาล - ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล่, อุสเซม อาอูอาร์ - เบอร์ทรานด์ ตราโอเร่, นาบิล เฟคีร์ (กัปตันทีม), เมมฟิส เดอปาย - มุสซา เดมเบเล่

ผู้ตัดสิน : อองโตนี่ โกติเย่ร์

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2562

ช้างศึกทำคันนาเศร้า! เก็บตก 5 ประเด็นห้ามพลาดในสัปดาห์ทีมชาติ

ช้างศึกทำคันนาเศร้า ผ่านพ้นไปเรียบร้อยสำหรับสัปดาห์แห่งโปรแกรมทีมชาติ แม้จะไม่ได้เข้มข้นเหมือนโปรแกรมลีก

ช้างศึกทำคันนาเศร้า  แต่ก็มีประเด็นน่าสนใจหลายเรื่องให้พูดถึงกัน โดยเฉพาะรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโร 2020 ที่ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว เรามาเก็บตกเรื่องที่น่าสนใจใสัปดาหืทีมชาติที่ผ่านมากัน
1.พลังหนุ่มอินทรีเหล็กเริ่มเวิร์ค



    หลังทำผลงานได้น่าผิดหวังตกรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลโลก แถมยังโดน ฮอลแลนด์และฝรั่งเศส ตบคว่ำในยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก จนตกชั้นลงไปเล่นลีกบี โยอาคิม เลิฟ เทรนเนอร์ของเยอรมันก็ประกาศกร้าวว่าจะปรับทัพขนานใหญ่ด้วยการนำดาวรุ่งขึ้นมาเป็นตัวหลักและตัดชื่อแข้งวัยเก๋าทั้งหลายออกได้แก่ โธมัส มุลเลอร์, มัตส์ ฮุมเมลส์ และเยโรม บัวเต็ง ซึ่งก็ทำให้เกิดดราม่าในทีมชาติพักใหญ่

    หลังจากทำได้แค่เสมอกับ เซอร์เบีย ในเกมอุ่นเครื่องเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลายคนคาดว่า ฮอลแลนด์ ที่เพิ่งถล่ม เบลารุส มาในเกมแรกของรอบคัดเลือก จะสามารถอัด เยอรมัน ที่ฟอร์มกำลังเป๋อยู่ขณะนี้ แต่ปรากฎว่า ทัพอินทรีเหล็ก ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการบุกไปปราบทีม "อัศวินสีส้ม" ได้ถึงที่จากประตูชัยของ นิโก้ ชูลส์ ในนาทีสุดท้ายทำให้พวกเขาประเดิมรอบคัดเลือกด้วยการเก็บสามแต้มได้สำเร็จ ส่วน ไอร์แลนด์เหนือ นั้นซิวชัยได้สองนัดรวดทำให้ขึ้นเป็นจ่าฝูงของกลุ่ม ดูท่าแล้วกลุ่มนี้จะแย่งจ่าฝูงกันสนุกแน่นอน

2.ฟ้า-ขาว ยังไหวมั้ย


    นอกจากฟุตบอลยูโรรอบคัดเลือกที่ลงทำการแข่งขันกันแล้ว ยังมีบอลกระชับมิตรทีมชาติที่น่าสนใจอยู่ด้วย โดยเฉพาะฟากทวีปอเมริกาที่ถือได้ว่าเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนศึกโกปา อเมริกา ที่จะแข่งขันกันในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมนี้
    แน่นอนว่าทีมที่น่าจับตามองมากที่สุดคงหนีไม่พ้น อาร์เจนติน่า เนื่องจากพวกเขาเป็นพระรองมา 2 ครั้งติดต่อกันแล้วในปี 2015 และ2016 (โกปา อเมริกา ครบรอบ 100  ปี) โดยพวกเขาพ่ายจุดโทษให้แก่ ชิลี ทั้งสองครั้งเลยด้วย ซึ่งถ้ายังจำกันได้ความผิดหวังสองครั้งนี้บวกกับการพลาดแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2014 ทำให้ ลีโอเนล เมสซี่ ดาวเตะอาร์เจนไตน์ประกาศหันหลังให้กับทีมชาติ ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในฟุตบอลโลกปี 2018 ที่ผ่านมา แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเช่นเคย จนหลายฝ่ายจับตามองว่าหากเขาพลาดโกปา อเมริกา ครั้งนี้อาจจะถึงคราวที่ต้องลาทีมชาติแล้วหรือไม่

    สำหรับเกมกระชับมิตรสองนัดในสัปดาห์ที่ผ่านมา ฟ้า-ขาว ก็ยังทำผลงานไม่เข้าเป้าเท่าไหร่หลังนัดแรกพ่ายแพ้คาบ้านแก่ เวเนซุเอล่า 3-1 ทั้งที่ ลีโอเนล เมสซี่ รีเทิร์นกลับมาช่วยชาติครั้งแรกหลังฟุตบอลโลก 2018 ขณะที่นัดที่สองบุกไปเฉือนชนะ โมร็อกโก หืดจับ 1-0 พวกเขาคงต้องเค้นฟอร์มออกมาโดยด่วนเพราะนัดถัดไปจะต้องลงเล่น โกปา อเมริกา แล้วโดยจะเปิดสนามพบกับ โคลอมเบีย มาดูกันว่า เมสซี่ จะคว้าแชมป์สมัยแรกได้หรือไม่

3.สิงโตหนุ่มยังร้อนแรง


    แกเร็ธ เซาธ์เกต ได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมากในฟุตบอลโลก 2018 กับทีมอังกฤษที่เต็มไปด้วยดาวรุ่ง และเขายังคงทำสานต่อผลงานได้ในยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ด้วยการเป็นจ่าฝูงของกลุ่มเอาชนะได้ทั้ง สเปน และโครเอเชีย เชื่อว่าฟุตบอลยูโร 2020 นี้พวกเขาตั้งความหวังที่คว้าแชมป์สมัยแรกมาให้ได้ และทัพผู้ดีก็จัดการคว้าชัยในสองเกมแรกตามความคาดหมาย แต่ที่ผิดคาดนั้นคือพวกเขายิงได้ถึง 10 ประตูใน 2 เกมนี้ ถล่ม เช็ก และมอนเตเนโกร ไปทีมละ 5 ลูก ราฮีม สเตอร์ลิ่งซัด 4 ประตูใน 2 เกม แถมเกมแรกทำแฮตทริกแรกในทีมชาติได้อีกด้วย ขณะที่ ดีแคลน ไรซ์ และคัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ได้ประเดิมตัวจริงในทัพสิงโตคำรามเป็นที่เรียบร้อย ช่วงนี้แฟนอังกฤษมีแต่ข่าวดีตามมาเรื่อยๆ ต้องมาดูกันว่าพวกเขาจะลบคำสบประมาทที่ว่า "หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม" ได้หรือไม่?

4.การคืนชีพของอัซซูรี่


    อย่างที่ทราบกันดีว่า อิตาลี ไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายฟตบอลโลก 2018 เนื่องจากพวกเขาพ่ายให้กับ สวีเดน ในรอบเพลย์ออฟสร้างความน่าผิดหวังให้กับแฟนอัซซูรี่ ดังนั้น ศึกยูโร 2020 พวกเขาจะต้องกู้ศรัทธาแฟนมักกะโรนีกลับคืนมาให้ได้ โดยผู้นำทัพอย่าง โรแบร์โต้ มันชินี่ สามารถนำทีมเก็บชัยได้สองนัดติดต่อกันพร้อมผลงานที่น่าประทับใจด้วยการกระซวกคู่แข่ง ฟินแลนด์ และลิกเตนไสตน์ รวมกันถึง 8 ประตู คนที่น่าจับตามองมากที่สุดคงไม่พ้นเจ้าหนู มอยเซ่ คีน ที่นัดแรกสอยหนึ่งตุงพร้อมสร้างสถิติเป็นผู้เล่นอายุน้อยสุดอันดับสองที่ทำประตูให้กับทีมชาติอิตาลีด้วยวัยเพียง 19 ปี กับ 23 วัน ขณะที่เมื่อคืนที่ผ่านมาก็ยิงอีกหนึ่งประตู อนาคตไกลแน่นอนสำหรับหัวหอกดาวโรจน์จาก ยูเวนตุส

5.บทเรียนไชน่า คัพ


    อีกหนึ่งรายการในช่วงสัปดาห์ทีมชาติที่ถือว่าเป็นการสร้างประสบการณ์ให้กับทัพช้างศึกของเราได้ดีเยี่ยม แม้ทีมชาติไทยจะต้องขาดผู้เล่นตัวหลักอย่าง กวิน ธรรมสัจจานันท์ และธีรศิลป์ แดงดา แต่ยังถือว่าทำผลงานได้ดีโดยเฉพาะในนัดแรกกับจีน ที่เล่นกันได้อย่างเข้าขาทั้งเกมรุกและเกมรับจนสามารถเอาชนะทัพมังกรไปได้ ทว่าปัญหาของเรายังอยู่ที่การจบสกอร์ซึ่งในเกมกับจีน พวกเรามีโอกาสมากมายที่จะบวกสกอร์เพิ่มแต่พลาดบ่อยครั้ง ขณะที่นัดชิงชนะเลิศ ช้างศึก ต้องเจอกับทีมอันดับที่ 7 ของโลกอย่าง อุรุกวัย แน่นอนว่าเราเป็นรองค่อนข้างมากทั้งสรีระและเทคนิคต่างๆ จึงไม่แปลกใจที่ผลการแข่งขันจะพ่ายแพ้แบบขาดลอย 4-0 แต่ถึงแม้เราจะแพ้ เราก็ได้เรียนรู้เทคนิคหลายอย่างจากแข้งระดับโลก ถือเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าจริงๆ

    อย่างไรก็ตามคนที่น่าผิดหวังมากที่สุดคงจะเป็น ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ตำนานกองหลังทีมชาติอิตาลี ซึ่งเข้ามาคุมทีมชาติจีนต่อจาก  มาร์เชลโล ลิปปี  ที่ประกาศลาออกจากตำแหน่งเฮดโค้ชหลังจบศึกเอเชียน คัพ ที่ผ่านมา โดย คันนาวาโร่ ประเดิมด้วยการพ่ายแพ้ไทย ตกรอบรองฯไชน่า คัพ ก่อนจะมาปราชัยต่อ อุสเบกิสถาน จบอันดับสุดท้ายในไชน่า คัพ การพ่ายสองนัดติดต่อกันแบบยิงประตูไม่ได้เลยไม่ต้องบอกว่าอาการน่าเป็นห่วงขนาดไหน คงต้องรอดูกันต่อไปว่าเขาจะพาทัพมังกรกลับมาได้หรือไม่

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2562

ถ้าไปจริงทำไงดี ? 3 นักเตะดาวรุ่งที่แมนยูน่าดึงมาแทน เอร์เรร่า

ถ้าไปจริงทำไงดี สำหรับตอนนี้กระแส อันเดร์ เอร์เรร่า เตรียมโบกมือลา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ถ้าไปจริงทำไงดี หลังสัญญาปัจจุบันของเขาจะหมดลงในช่วงซัมเมอร์นี้ และยังไม่มีทีท่าว่า "ปีศาจแดง" กับแข้งชาวสแปนิช จะลงเอ่ยเรื่องการขยายสัญญาฉบับใหม่


    เอร์เรร่า ส่อแววว่าจะหมดอนาคตกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ หลังจากที่เขาไม่ค่อยถูกใช้งานมากเท่าที่ควร แต่สถานการณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปหลังจากที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เข้ามาคุม "ปีศาจแดง"  เพราะดาวเตะชาวสแปนิชได้รับโอกาสลงเล่นอย่างต่อเนื่อง และทำผลงานได้ยอดเยี่ยมจนเป็นคนที่ทีมขาดไม่ได้ไปแล้ว




    ดาวเตะเลือดกระทิงดุ เล่นได้เข้าขาลงตัวกับ เนมานย่า มาติช และ ปอล ป็อกบา ขณะเดียวกันเขายังสามารถขยับไปเล่นริมเส้นฝั่งขวาก็ได้ ในส่วนของพละกำลังของนักเตะต้องบอกว่า เอร์เรร่า มีเหลือเฟือ ที่สำคัญนักเตะพร้อมลงสนามช่วยทีมเสมอไม่ว่าจะในฐานะตัวจริงหรือสำรอง

    แม้ว่าแฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด อยากเห็น เอร์เรร่า สลัดน้ำหมึกขยายสัญญาใหม่ แต่บอร์ดบริหาร "ผีแดง" ยังแทงกั๊ก นั่นทำให้นักเตะมีข่าวว่าหลายทีมชั้นนำในพรีเมียร์ลีก และต่างแดนจ้องยื่นข้อเสนอดึงไปร่วมทีม และหากสถานการณ์เป็นแบบนี้มีความเป็นไปได้ที่ "เร้ด เดวิลส์" จำเป็นต้องหาทางเลือกเพื่อมาทดแทนเขา

3. ฮุสเซม อูอาร์
    ฮุสเซม อูอาร์ เป็นผู้เล่นแผงมิดฟิลด์ที่มีความสำคัญ และทำผลงานได้อย่างน่าเหลือเชื่อกับ โอลิมปิก ลียง โดย ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ สามารถเล่นมิดฟิลด์ตัวกลาง หรือขยับไปยืนริมเส้นฝั่งซ้ายก็ได้ โดยเขาเป็นนักเตะครองบอลได้อย่างเชื่องเท้า สามารถที่จะคุมจังหวะเกม พร้อมกับผ่านบอลได้หลากหลาย และยังสามารถเจาะกองกลางคู่แข่งด้วยการผ่านบอลที่แม่นยำ


    ยิ่งไปกว่านั้น อูอาร์ ยังเป็นนักเตะที่สามารถช่วยเกมรับได้ด้วย เขาเป็นนักเตะที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และมีสมาธิในการพยายามแย่งบอลกลับคืนมาเพื่อให้ทีมได้เล่นเกมบุกต่อเนื่อง เห็นได้ชัดจากสถิติในการเสียบสกัดได้ถึง 1.6 ครั้งต่อเกมเวลาที่ลงเล่นในลีก เอิง

    สำหรับในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลนี้ อูอาร์ แย่งบอลได้ 2.4 ในแต่ละเกม รวมไปถึงการสามารถนำทีมกลับมาครองเกมได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เขายังผ่านบอลในจังหวะสำคัญได้ 1.2 ต่อ 90 นาที และยังมีโอกาสยิงประตู 2.2 ครั้งต่อเกม นอกจากนี้ยังทำไปแล้ว 7 ประตูกับ 2 แอสซิสต์ในลีกซีซั่นปัจจุบัน

2. ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล่
    ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล่  และทำหน้าที่เป็นมิดฟิลด์ตัวรับชั้นยอดของ โอลิมปิก ลียง ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับทุกๆ คนได้เห็นด้วยสไตล์การเล่นที่ครบเครื่องสมบูรณ์แบบ โดย ดาวเตะเลือดน้ำหอม เต็มไปด้วยพลังในการขับเคลื่อนเกม และเล่นได้แตกต่างจากมิดฟิลด์คนอื่นๆ

    ยิ่งไปกว่านั้น  เอ็นดอมเบเล่  เป็นผู้เล่นที่มีสมาธิในการตัดเกมคู่แข่ง ขณะที่สไตล์การเล่นของเขายังเกี่ยวพันกับการขึ้นเกมพร้อมกับการผ่านบอลที่แม่นยำ และการควบคุมเกม นอกจากนี้นักเตะยังมีความสามารถในการทิ่มบอลอย่างเฉียบคมแม้จะช่องเล็กๆ เท่านั้น


    นอกจากนี้ มิดฟิลด์วัย 22 ปี ยังเป็นผู้เล่นที่สร้างสรรค์เกม และยังเล่นได้อย่างชาญฉลาดในเกมรับด้วย เขาทำสถิติเสียบสกัด 2 และ 2.4 ครั้งใน ลีก เอิง กับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลนี้ตามลำดับ รวมทั้งในบางครั้งยังทำหน้าที่ครองบอลอย่างเหนียวแน่นด้วย นอกจากนี้เขามีสถิติการเลี้ยงบอล 1.6 ต่อเกมในลีก ส่วนในถ้วยใบโตยุโรปสถิติอยู่ที่ 2.9 ต่อเกม

    ยังไม่หมดแค่นั้น เอ็นดอมเบเล่ สามารถสร้างโอกาสในการทำประตูซึ่งนี่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการเล่นของเขา เขาแอสซิสต์ไปแล้ว 6 ครั้งในลีกเมืองน้ำหมอ และยิงไปแล้ว 2 ประตูในการเล่นฟุตบอลถ้วยใบโตยุโรป ฉะนั้นด้วยศักยภาพของนักเตะแน่นอนว่ามีหลายสโมสรพร้อมทุ่มเงินยั่ว ลียง ให้ปล่อยแข่งพรสวรรค์รายนี้ออกมา

1. นิโคโล่ ซานิโอโล่
    นิโคโล่ ซานิโอโล่ ดาวรุ่งพุ่งแรงของ โรม่า และกำลังทำผลงานได้อย่างสุดยอดให้กับ "หมาป่าเหลืองแดง" และตอนนี้ดูเหมือนว่านักเตะจะพัฒนาฟอร์มการเล่นตำแหน่งนี้ได้เหนือกว่า 2 ตัวเลือกแรก ฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า แมนฯ ยูไนเต็ด และอีกหลายสโมสรจับจ้องเขาอย่างมาก

    ดาวเตะเลือดมะกะโรนี สามารถเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์หรือปีกขวาก็ได้ และเป็นผู้เล่นที่เต็มไปด้วยพลังรวมทั้งความกระตือรือร้นในการช่วยทีม โดย ซานิโอโล่ เป็นผู้เล่นที่สามารถทะลุทะลวงเกมรับคู่แข่งได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เขาเป็นนักเตะที่ครองบอลได้เชื่องเท้า และมักจะแย่งบอลกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้ทีมได้เปิดเกมบุกสวนกลับ แถมยังมีสถิติในการแย่งบอล 1.6 ต่อเกมในฤดูกาลนี้



    นอกจากนี้ ซานิโอโล่ เป็นนักเตะที่จับบอลจังหวะแรกได้อย่างนิ่มนวลละมุนเท้า ซึ่งนั่นทำให้เขาสามารถผ่านบอลได้เนียบกริบ ด้วยวัยเพียง 19 ปีต้องบอกว่าเป็นนักเตะที่เปรียบล้นศักยภาพและซัดไปแล้ว 3 ประตูกับ 2 แอสซิสต์ในการเล่นกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี แถมยังซัดไป 2 ประตูในแชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วย

    คุณสมบัติชั้นดีของ แข้งเลืออิตาเลียนรายนี้ยังมีอีกโดยเฉพาะการเล่นที่เต็มไปด้วยสมดุลในเกมรับ และเกมรุก ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าตอนนี้มีหลายสโมสรที่จับจ้องเขาตาเป็นมัน ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด จะกล้าเสี่ยงที่จะดึง ซานิโอโล่ หรือไม่ คงต้องรอดูกันต่อไป

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2562

เจ๋งแค่ไหน?เทียบสถิติเอร์เรร่ากับแดนกลางคนอื่นแมนยู

เจ๋งแค่ไหน ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่าอันเดร เอร์เรร่า ได้รับความสนใจจากปารีส แซงต์-แชร์กแมง

เจ๋งแค่ไหน สโมสรมหาเศรษฐีจากลีกเอิง ที่จ้องจะดึงเขาไปร่วมทีม กับอีกมุมหนึ่งก็บอกว่าโอเล่ กุนนาร์ โซลชา อยากรั้งเขาไว้อยู่กับทีมต่อไป
   แน่นอนว่าลึกๆในใจของแฟนบอลปีศาจแดง ไม่อยากเสียมิดฟิลด์จอมขยันคนนี้ออกไป เพราะนับตั้งแต่ที่โซลชา เข้ามาคุมทัพ โอกาสลงสนามของเอร์เรร่าก็มีมากขึ้นซึ่งผลงานที่ออกมานับว่ายอดเยี่ยมจริงๆ

    อย่างไรก็ดี สัญญาของเขาจะหมดลงในช่วงซัมเมอร์นี้และก็ยังไม่มีท่าทีว่าเขาจะขยายต่อสัญญาออกไป แฟนบอลเร้ด เดวิลส์ จึงได้แต่หวังว่าบอร์ดบริหารทีมจะดำเนินจับเอร์เรร่าต่อสัญญาให้เร็วที่สุด


    และจากประเด็นล่าสุดที่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์เรื่องอนาคต โดยบอกว่าไม่ปิดโอกาสที่จะบอกลา "ปีศาจแดง" แต่ระบุ ตอนนี้สนเฉพาะเรื่องเล่นฟุตบอลเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ขอปล่อยให้เอเยนต์จัดการ


    ทีนี้เรามาเทียบสถิติของเอร์เรร่า กับมิดฟิลด์คนอื่นๆในทีมอย่าง เฟร็ด และอันเดรส เปเรยร่า โดยไม่ได้นำเขาไปเทียบกับป็อกบา และมาติช เนื่องจากทั้งสองคนนี้ไม่ใช่ผู้เล่นที่มีสไตล์เดียวกับแข้งสแปนิช

ประตู&แอสซิสต์


    เอร์เรร่า ทำได้สองประตูและ 3 แอสซิสต์ จาก 19 เกมในลีกซีซั่นนี้ โดยค่าเฉลี่ยต่อหนึ่งประตูอยู่ที่ 607 นาที และจะผ่านให้เพื่อนทำประตูทุกๆ 405 นาที

    มารูยาน เฟลไลนี่ ที่ออกไปจากทีมหลังจากการเข้ามาของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ทำได้หนึ่งประตูจาก 748 นาทีที่ลงสนาม โดยไม่สามารถแอสซิสต์ให้เพื่อนได้

    ในรายของเฟร็ด เจ้าของค่าตัว 52 ล้านปอนด์ที่แมนฯยูไนเต็ดทุ่มเงินซื้อเข้ามาเมื่อช่วงซัมเมอร์ คือคู่แข่งแย่งตำแหน่งของเอร์เรร่าโดยตรง แต่ก็ไม่ได้โอกาสลงสนามมากนัก โดยที่ 754 นาที ที่ลงสนาม เขาทำประตูและแอสซิสต์ได้อย่างละครั้ง

    ส่วนอันเดรส เปเรยร่า คือคนที่ได้รับโอกาสน้อยสุด 389 นาทีที่ลงเล่น ทำได้ 1 ประตู และ 1 แอสซิสต์ ในชัยชนะเหนือเซาธ์แฮมป์ตัน 3-2

อัตราการชนะ


    ตลอด 19 นัดที่เอร์เรร่า ได้ลงสนามในเกมพรีเมียร์ฯซีซั่นนี้ ปรากฎว่า แมนฯยูไนเต็ด เก็บชัยชนะได้ถึง 12 นัด และแพ้ 3 นัด คิดสัดส่วนชัยชนะเป็น 62% โดยโอกาสลงสนามของเอร์เรร่ามีมากขึ้นนับตั้งแต่โซลชา เข้ามาคุมทีมจึงไม่แปลกใจนักที่อัตราการชนะของปีศาจแดงเมื่อมีเขาจะมากขึ้นเมื่อเทียบกับผลงานโดยรวมในลีก ที่มีอัตราชนะอยู่ที่ 56%

    คนที่มีอัตราลงสนามแล้วทีมชนะมากไม่ต่างจากเอร์เรร่า คือ เฟร็ด ที่มีตัวเลขอยู่ที่ 61% ส่วนเปเรยร่านั้นมีเพียงแค่ 44%

เรื่องเกมรับ


    เอร์เรร่าขึ้นชื่อในเรื่องของความทุ่มเทและวิ่งสู้ฟัดกัดไม่ปล่อย ซึ่งสแตทที่ออกมาก็รองรับว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริง

    เขามีค่าเฉลี่ยการเข้าปะทะคู่แข่งและตัดบอลได้มากสุดเหนือคนอื่นๆในแผงมิดฟิลด์ ซึ่งตัวเลขนั้นประกอบไปด้วย 2.4 ครั้ง และ 1.9 ครั้ง ต่อเกม ขณะที่ เฟร็ด มีเพียง 1.8 และ1 ครั้ง ต่อเกม ส่วน เปเรยร่า น้อยสุด คือ 0.7 และ 0.9 ครั้ง

    อีกหนึ่งสถิติที่น่าสนใจคือการทำฟาวล์ของเอร์เรร่า กลับมีค่าน้อยสุดเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ โดยตัวเลขเฉลี่ยการทำฟาวล์ของเขาอยู่ที่ 0.9 ครั้งต่อเกมเท่านั้น ขณะที่ เฟร็ด และ เปเรยร่า มีตัวเลขเท่ากับ 1.1 ครั้ง และ 1.3 ครั้ง ตามลำดับ

การผ่านบอล


    เป็นอีกหนึ่งค่าที่บ่งบอกว่าเขาเหนือกว่าคนอื่น โดยค่าเฉลี่ยการผ่านบอลของเอร์เรร่า อยู่ที่ 43.7 ครั้งต่อเกม เฟร็ด 43.5 ครั้งต่อเกม และเปเรยร่า 26.1 ครั้งต่อเกม ไม่เพียงแค่นั้น ตัวเลขความแม่นยำในการผ่านบอลมีสูงถึง 88.2% เหนือกว่าเฟร็ด ที่ตัวเลขอยู่ที่ 87.6% และเปเรยร่า 85.1%

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

เดอปายหลบไป-ชูลซ์ชู้ดชัย! ตัดเกรดนักเตะนัดเยอรมันบุกสอยฮอลแลนด์

เดอปายหลบไป-ชูลซ์ชู้ดชัย บิ๊กแมตช์ยูโรรอบคัดเลือก 2020 รอบคัดเลือกเมื่อคืนที่ผ่านมา

เดอปายหลบไป-ชูลซ์ชู้ดชัย เป็นเกมที่สนุก เร้าใจ ต่างฝ่ายต่างเล่นดีกันคนละครึ่งเวลา ฮอลแลนด์ แม้จะเสียท่าในครึ่งแรกแต่ครึ่งหลังก็ได้ฮีโร่หน้าเก่ายิง 1 จ่าย 1 จนได้คะแนนไปถึง 8 แต้ม อย่างไรก็ตามแม้ เยอรมัน จะพลาดท่าในครึ่งหลังแต่พวกเขามีหมัดเด็ดท้ายเกมซึ่งคนยิงประตูชัยก็ยิง 1 จ่าย 1 เช่นกันพร้อมคว้าไป 8.5 เราไปชมผลงานแข้งทั้งสองทีม
ฮอลแลนด์

ยาสเปอร์ ซิลเลสเซ่น 6
งานหนักได้โชว์เซฟช่วยทีม 4 ครั้ง แต่ประตูที่เสียก็หมดสิทธิ์ป้องกัน


เดนเซล ดุมฟรีส์ 5
โดนเยอรมันเจาะเป็นว่าเล่น แทบหยุด ซาเน่ ไม่อยู่ เรียกได้ว่าเป็นบ่อน้ำมันเลยก็ว่าได้

มัทไธจ์ส เดอ ลิกท์ 6
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการลื่นของเขาทำให้เสียประตูแรก แม้จะแก้ตัวด้วยการโหม่งตีไข่แตกหลุดตำแหน่งจนเสียประตูนาทีสุดท้าย

เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค 6
มีปัญหาในการประกบ แซร์จ นาบรี้ เจอเผาเครื่องจนบล็อคลูกยิงไม่ทันและเสียประตู แต่ก็เล่นได้ดีในครึ่งหลัง ลูกกลางอากาศเก็บเรียบ

ดาเล่ย์ บลินด์ 5.5
อาจจะไม่ใช่ฝั่งที่ เยอรมัน บุกมากนัก แต่ก็ตามประกบคู่แข่งพลาดอยู่บ่อยครั้ง ทว่าการจ่ายบอลของเขาทำได้ดี

มาร์เท่น เดอ รอน 5
แทบจะหายไปจากเกมโดยเฉพาะครึ่งแรก ช่วยเกมรับไม่ได้ ส่วนเกมรุกก็พอกัน

เฟรงกี้ เดอ ย็อง 6.5
เล่นค่อนข้างต่ำ และมีหลุดตำแหน่งอยู่บ้าง แต่แย่งและสกัดบอลได้เยอะที่สุดในสนาม ครึ่งหลังเริ่มมีบทบาทขึ้นในการทำเกม

จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม 7
ครึ่งแรกเล่นไม่ออก แต่ฟอร์มดีขึ้นในช่วงครึ่งหลัง จัดแอสซิสต์ให้ เดอปาย ยิงตีเสมอ

ควินซี่ โพรเมส 5
ครึ่งแรกมีจ่ายบอลสวยๆหลายครั้งแต่เพื่อนปิดสกอร์ไม่ได้ ก่อนจะเล่นไม่ออกทั้งเกม

เมมฟิส เดอปาย 8
แม้ครึ่งแรกจะเงียบไปบ้าง แต่ครึ่งหลังกลับมาท็อปฟอร์มด้วยการยิง 1 จ่าย 1

ไรอัน บาเบล 4
มีโอกาสทองได้ส่องประตูหลายครั้งแต่จบสกอร์ไม่คมเอง ก่อนโดนเปลี่ยนตัวออก

ผู้เล่นสำรองที่ลงสนาม

สตีเฟ่น เบิร์กไวจ์น 5 (ลงมาแทน ไรอัน บาเบล นาที่ 46)
บทบาทส่วนใหญ่คือการบีบพื้นที่ผู้เล่น เยอรมัน

ลุค เดอ ยอง - (ลงมาแทน ไรอัน มาร์เท่น เดอ รอน นาที่ 90+1)
ลงมาท้ายเกมแล้ว


เยอรมัน

มานูเอล นอยเออร์ 8
ถ้าไม่ได้ นอยเออร์ เกมนี้โดนไปหลายลูกแล้ว เซฟไป 4 ครั้งเน้นๆ

อันโตนิโอ รือดิเกอร์ 6.5
เป็นคนวางบอลยาวอย่างสวยงามให้ แซร์จ นาบรี้ ลากเข้าไปยิงประตู แต่ก็มีส่วนรับผิดชอบกับการเสียประตูที่ 2 และ3

มัทธิอัส กินเตอร์ 5.5
ไม่โดดเด่นมากนัก จนมามีจังหวะเข้าตาคือเป็นคนสไลด์พลาดจนเสียประตูที่ 2

นิคลาส ซือเล่ 6
ครึ่งแรกตามบล็อคและประกบแข้งเจ้าถิ่นได้ดี แต่ครึ่งหลังหลุดตำแหน่งจนเสียประตูตีเสมอ

ธิโล เคห์เรอร์ 7
มีโอกาสได้โขกเน้นๆแต่ติดเซฟ แพ้ในการดวลลูกกลางอากาศกับ เดอ ลิกท์ จนเสียประตู

โทนี่ โครส 7
คุมจังหวะเกมตรงกลาง ครึ่งแรกช่วยแดนกลางและเกมรุกได้ดี แต่ครึ่งหลังเล่นไม่ออก

เลออน โกเร็ตซ์ก้า 5
ค่อนข้างเงียบ ช่วยยกระดับเกมรุกของเยอรมันไม่ได้เลย

โยชัว คิมมิช 6
บทบาทไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่นัก ครึ่งหลังหยุดเกมรุกของ ฮอลแลนด์ ไม่ได่

นิโก้ ชูลซ์ 8.5
เป็นคนจ่ายให้ เลรอย ซาเน่ ยิงประตูแรก ก่อนจะมาซัดประตูชัยในช่วงท้ายเกมอีก

แซร์จ นาบรี้ 8
ประสานงานกับ ซาเน่ จนปั่นป่วนแนวรับฮอลแลนด์ได้หลายหน ลูกยิงของเขาสุดยอดจนต้องยกนิ้วโป้งให้

ลีรอย ซาเน่ 8
ความเร็วของเขาฉีกแนวรับของคู่แข่งได้ตลอด ยิงประตูเบิกร่องให้กับทีมด้วย

ผู้เล่นสำรองที่ลงสนาม

อิลคาย กุนโดกัน 6.5 (ลงมาแทน เลออน โกเร็ตซ์ก้า นาที่ 70)
เป็นคนจ่ายให้ มาร์โก รอยส์ หลุดจนเป้นที่มาของประตูชัย

มาร์โก รอยส์ 7 (ลงมาแทน แซร์จ นาบรี้ นาที่ 88)
ลงมาท้ายเกมแต่จัดแอสซิสต์ประตูชัย

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562

คัดยูโรมันส์! 5 ประเด็นร้อนก่อนฮอลแลนด์ชนเยอรมัน

คัดยูโรมันส์ ศึกฟุตบอลยูโร 2020 รอบคัดเลือกคืนนี้ มีบิ๊กแมตช์ที่น่าดูน่าชมเหลือเกิน

คัดยูโรมันส์ เนื่องจากจะเป้นการพบกันระหว่าง "ทัพอัศวินสีส้ม" ฮอลแลนด์ ปะทะกับ "ทัพอินทรีเหล็ก" เยอรมัน สองทีมใหญ่จากกลุ่มซี โดยฝั่ง ฮอลแลนด์ เพิ่งจะประเดิมเก็บชัยในนัดแรกด้วยการถล่ม เบลารุส ขาดลอย พร้อมพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม ขณะที่ เยอรมัน จะลงสนามเกมนี้เป็นเกมแรกในรอบคัดเลือก ก่อนเกมบิ๊กแมตช์เรามาชมประเด็นร้อนที่น่าสนใจกัน
1.ล้างแค้น/ย้ำแค้น

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                   

    ทั้งสองทีมเพิ่งเจอกันในทัวร์นาเม้นต์ ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งผลการแข่งขันในวันนั้นเรียกได้ว่าช็อคกันเป็นแถบเนื่องจาก ฮอลแลนด์ จัดการถล่ม เยอรมัน ไปแบบขาดลอย 3-0 เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค, เมมฟิส เดอปาย และจอร์จินโญ่ ไวจ์นาดุม ซัดคนละประตูในวันนั้น  ทำให้ทัพอินทรีเหล็กนอกจากจะอับอายจากการตกรอบแบ่งกลุ่มในฟุตบอลโลก 2018 แล้วยังต้องมาพ่ายแพ้แบบหมดรูปจนสุดท้ายพวกเขาจบอันดับบ๊วยและต้องตกชั้นลงไปเล่นลีกบี ขณะที่ ฮอลแลนด์ จบอันดับที่ 1 ของตารางและผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ เนชั่นส์ ลีก ได้สำเร็จ คราวนี้มาถึงทัวร์นาเม้นต์ที่ต้องเอาจริงกันบ้างแล้ว มาดูกันว่าใครจะแก้แค้นใครจะย้ำแค้นกันแน่?

2.อัศวินกับภารกิจกู้หน้า


    อย่างที่เราทราบกันว่า ฮอลแลนด์ ไม่สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกปี 2018 ที่ผ่านมา ทำให้  ดิ๊ก อั๊ดโวคาท ต้องอำลาทีมไปก่อนจะมีการแต่งตั้ง โรนัลด์ คูมัน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว แม้จะประเดิมด้วยการพ่ายต่อ อังกฤษ คาถิ่น แต่หลังจากนั้น โรนัลด์ คูมัน ก็ได้สร้างทีมขึ้นมาใหม่ตามแบบฉบับของเขา ก่อนจะทำผลงานได้ยอดเยี่ยม พ่ายแพ้แค่เกมเดียวจาก 10 เกม  ผลงานที่โดดเด่นที่สุดคือการเอาชนะได้ทั้งแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 อย่าง เยอรมัน และแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 อย่าง ฝรั่งเศส ในทัวร์นาเม้นต์ ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ก่อนจะจบด้วยการเป็นจ่าฝูงของกลุ่ม เชื่อว่าพวกเขาหมามั่นปั้นมือที่จะกู้ศรัทธาแฟนบอลในทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลยูโร 2020 ดังนั้นการเอาชนะอินทรีเหล็กถือเป็นฤกษ์งามยามดีจริงๆ

3.เลือดเก่าไปเลือดใหม่มา


    เป็นประเด็นที่ดราม่าตั้งแต่ประกาศ 23 ขุนพลอินทรีเหล็กเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเมื่อ โยอาคิม เลิฟ ประกาศยืนยันว่าจะไม่เรียกแข้งวัยเก๋าสามรายอย่าง เฌโรม บัวเต็ง, มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์ และโธมัส มุลเลอร์ เข้ามาติดทีมอีกแล้ว เพื่อเซ่นผลงานสุดห่วยในตลอดปฏิทินปี 2018 ซึ่งก็สร้างความไม่พอใจกับนักเตะสามรายดังกล่าวโดยเฉพาะ โธมัส มุลเลอร์ ที่ออกโรงจวก เลิฟ ด้วยประโยคที่เจ็บจี๊ดว่า "ผมภูมิใจที่ได้สวมเสื้อทีมชาติ ผมทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง แต่ผมคิดว่านี่ไม่ใช่การกระทำที่เหมาะสมเลยจริงๆ"

    อย่างไรก็ตามดูเหมือน เลิฟ จะไม่สนใจเท่าไรห่นัก และก็เรียกสามแข้งหน้าใหม่ ลูคัส โคลสเตอร์มันน์ (แอร์เบ ไลป์ซิก), มักซิมิเลียน เอ็กเกอสไตน์ (แวร์เดอร์ เบรเมน), นิคลาส สตาร์ค (แฮร์ธ่า เบอร์ลิน) เข้ามาติดทัพ พร้อมชูว่าจะสร้างทีมโดยเน้นนักเตะดาวรุ่งเป็นหลัก การตัดชื่อแข้งวัยเก๋าครั้งนี้เราไม่รู้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ ก็คงต้องดูกันยาวๆต่อไป ขณะที่รุ่นพี่ในทีมที่เหลืออย่าง มานูเอล นอยเออร์, โทนี่ โครส และมาร์โก รอยส์ จะช่วยประคับประคองทีมต่อไปได้ไหม ต้องคอยดูกัน

4.เดอปาย กลายร่าง


    ดาวเตะโอลิมปิก ลียง เป็นนักเตะที่ฟอร์มฮอตฉุดไม่อยู่ของ ฮอลแลนด์ ในตอนนี้ หากจะบอกว่าเขาเป็นความหวังของแนวรุกทัพ อัศวินสีส้ม ในยุคนี้ก็ถือว่าไม่ผิดแปลกแต่อย่างใด นัดอุ่นเครื่องกับ เบลารุส ที่ผ่านมา เขาก็ได้โชว์ฟอร์มสุดยอดด้วยการยิง 2 ประตูและจ่ายอีก 2 ประตูช่วยให้ทีมถล่มไปถึง 4-0 ถ้านับตั้งแต่เปิดปี 2018 มาจนถึงปัจจุบัน เขาสอยตาข่ายกับทีมชาติไปแล้ว 7 ประตูจากการลงเล่น 11 นัดทำให้ตอนนี้เขายิงในทีมชาติไปทั้งหมด 15 ประตูและทำ 11 แอสซิสต์ จากกรับใช้ทัพอัศวินสีส้ม 45 นัด เกมคืนนี้เขาจะอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญของเจ้าบ้าน หากเขาท็อปฟอร์มเชื่อว่ากองหลังอินทรีเหล็กมีเหนื่อยแน่นอน

5.อัศวินมาดีช่วงหลัง


    ทั้งสองทีมเคยเจอกันมาแล้วในเกมทางการทั้งหมด 42 ครั้ง โดยทัพอินทรีเหล็กมีสถิติที่เหนือกว่า เอาชนะไปได้ 15 ครั้ง ขณะที่ เนเธอแลนด์ ซิวชัยไปทั้งหมด 11 ครั้ง ดังนั้นผลการแข่งขันที่เจอบ่อยที่สุดนั่นคือการเสมอกัน (16 ครั้ง) อย่างไรก็ตาม 3 นัดหลังสุดที่เจอกัน ฮอลแลนด์ ไม่แพ้ให้กับ เยอรมัน เลย โดยเป็นทัพอัศวินส้มที่เก็บชัยได้หนึ่งครั้งซึ่งคือนัดที่ถล่มยับเยิน เยอรมัน 3-0 ในยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ส่วนอีกสองนัดเสมอกัน มาดูกันต่อไปว่า ฮอลแลนด์ จะยืดสถิติไม่แพ้ เยอรมัน ต่อไปเป็นนัดที่ 4 ได้หรือไม่

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2562

กรีซมันน์เบิกร่อง!ฝรั่งเศสพับสนามบุกถลุงมอลโดว่าคัดยูโร

กรีซมันน์เบิกร่อง "ตราไก่" ฝรั่งเศส โชว์ฟอร์มสมราคาแชมป์โลก 

กรีซมันน์เบิกร่อง หลัง อองตวน กรีซมันน์ ซัดเม็ดแรกเปิดเกม ก่อนถลุง มอลโดว่า สุดสบาย 4-1 คว้าสามแต้มประเดิมคัดยูโร ในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 รอบคัดเลือก กลุ่ม เอช คืยวันศุกร์ที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา
     เริ่มครึ่งแรกตราไก่โหมบุกหนักนาทีที่ 12 เบนจาแม็ง ปาวาร์ด เปิดบอลจากริมเส้นฝั่งขวาเข้ามาในกรอบเขตโทษ อองตวน กรีซมันน์ จับบอลหนึ่งจังหวะก่อนซัดบอลเข้ากรอบแต่นายด่านเจ้าถิ่นรับไว้ได้

     ยังคงเป็นทีมแชมป์โลกล่าสุดลุยต่อนาทีที่ 17 อองตวน กรีซมันน์ รับบอลจากเพื่อนร่วมทีม ก่อนเจ้าตัวเลือกลองส่องไกล บอลพุ่งลอยเหินคานข้ามออกไปอย่างน่าเสียดาย

     ทีมเยือนทำได้นาทีที่ 24 อองตวน กรีซมันน์ ลงต่ำลากบอลขึ้นหน้าก่อนจ่ายต่อให้ ปอล ป็อกบา กระดกบอลโด่งคืนให้ ดาวยิงตราหมี ที่วิ่งเช็คล้ำหน้าวอลลเลย์บอลตามน้ำเข้าไปตุงตาข่ายอย่างงดงาม ฝรั่งเศส นำก่อน 1-0

     ถัดมาอีกสามนาที อองตวน กรีซมันน์ เปิดลูกเตะมุมด้านขวา บอลโค้งเข้าหากรอบประตู และเป็น ราฟาเอล วาราน กองหลังตัวหลักโฉบหนีแนวรับมอลโดว่า โขกบอลเข้าไปอีกหน ตราไก่ทิ้งเป็น 2-0 นาทีที่ 27


     เลอเบลอส์เฮสนั่นอีกนาทีที่ 36 ปอล ป็อกบา ไหลบอลตรงเข้ากรอบเขตโทษให้ แบลส มาตุยดี้ ใช้ตัวบังก่อนตวัดบอลต่อให้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ที่ยืนโล่งหน้าปากประตูคนเดียวใช้เท้าซัดจังหวะเดียวผ่านมือ อเล็กเซ โคเซเลฟ นายทวารเจ้าถิ่น อีกลูก ฉีกเป็น 3-0

     ผ่านมาถึงนาทีที่ 40 อองตวน กรีซมันน์ โยนลูกฟรีคิกด้านซ้ายกรอบเขตโทษ ก่อนเป็น โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ วิ่งโถมตัวสะบัดหัวโหม่งบอลลอยเข้าหาประตูแต่ผู้รักษาประตูเจ้าบ้านรับไว้ไม่มีพลาดจบ 45 นาทีแรก ตราไก่ งานสบายบุกนำ มอลโดว่า 3-0

     เริ่มครึ่งหลังฝรั่งเศสสร้างโอกาสได้เหมือนเดิมนาทีที่ 67 ปอล ป็อกบา ได้โอกาสปั่นหน้ากรอบเขตโทษ บอลเลี้ยวจะเข้าประตูแต่ อเล็กเซ โคเซเลฟ นายทวารมอลโดว่า ล้มตัวทุบบอลออกมาได้อย่างหวุดหวิด

     ทีมเยือนมีลุ้นอีกในนาทีที่ 71 อองตวน กรีซมันน์ เปิดลูกฟรีคิกอีกครั้ง ก่อนเป็น ปอล ป็อกบา ตั้งศีรษะโหม่งบอลแต่ผู้รักษาประตูเจ้าบ้าน พุ่งสุดตัวปัดบอลออกหลังไปแบบเหลือเชื่อ

     และแล้วนาทีที่ 87 โทมัส เลอมาร์ วิ่งไล่บี้กองกลางมอลโดว่า ก่อนบอลกระฉอกมาเข้าทาง คีเลียน เอ็มบัปเป้ หลุดเดี่ยวไปดวลกับผู้รักษาประตูเจ้าถิ่น หัวหอกเปแอสเชหวดด้วยเท้าขวาบอลเสียบเสาสอง แต่ต่อมาอีกสองนาทีจากความผิดพลาดแนวรับตราไก่ วลาดิเมียร์ อัมโบรส ตัวสำรองที่ลงมาครึ่งหลังยิงตีไข่แตกให้ มอลโดว่า ตามเป็น 1-4 แต่ได้แค่นั้นจบเกม ฝรั่งเศส บุกถล่ม มอลโดว่า 4-1

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม
มอลโดว่า (4-2-3-1):อเล็กเซ โคเซเลฟ,อีวาน จาร์ดาน,วียาเชสสลาฟ พอสมัค,คาตาลิน คาร์ป,โอเล็ก รีบชุค,ยูเจนู เซโบตารู,อาร์ตูร์ ยอนิต้า,อเล็กซานดรู อันโตนิค (วลาดิเมียร์ อัมโบรส น.73),อูเจนิอู โคชูค (อาร์ติออม รอซโกนิอูค น.46),ราดู กินซารี,ลอน นิโคลาสคู (วิตาลี่ ดามาชคาน น.59)
ฝรั่งเศส (4-1-2-3):อูโก้ โยริส,เบนจาแม็ง ปาวาร์ด,ราฟาเอล วาราน,ซามูเอล อูมตีตี้,เลแว็ง กูร์กซาว่า,ปอล ป็อกบา,อองตวน กรีซมันน์ (ฟลอเรี่ยน โตแว็ง น.74),เอ็นโกโล่ ก็องเต้,แบลส มาตุยดี้ (โทมัส เลอมาร์ น.73),คีเลียน เอ็มบัปเป้,โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ (นาบิล เฟคีร์ น.81)

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

สองเด็กหงส์ซัด! เดอปายยิง2จ่าย2 ฮอลแลนด์ ถลุง เบลารุส, โครเอเชีย เฮท้ายเกม คัดยูโร

สองเด็กหงส์ซัด เมมฟิส เดอปาย โชว์ความเทพด้วยการยิงสองเม็ดพร้อมจ่ายอีกสองประตู

สองเด็กหงส์ซัด แถมเด็กหงส์แดงอย่าง จอร์จินโย่ ไวนัลดุมและ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ก็ซัดคนละประตูพา ฮอลแลนด์ ประเดิมรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโรด้วยการถล่ม เบลารุส ขาดลอย 4-0 ขึ้นไปนำจ่าฝูงของกล่มซี ส่วน โครเอเชีย รองแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ได้ประตูชัยช่วงท้ายเกมจาก อันเดร ครามาริช พาทีมยิงแซง อาเซอร์ไบจาน 2-1 ประเดิมเก็บสามแต้ม ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยูโร 2020 รอบคัดเลือก คืนวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา
   ฮอลแลนด์ 4-0 เบลารุส

    ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยูโร 2020 รอบคัดเลือกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว คู่แรกเป็นการพบกันของสองชาติในกลุ่มซี ระหว่างทีม "อิศวินสีส้ม" ฮอลแลนด์ เปิดรัง สตาดิโอน เฟเยนูร์ด รับการมาเยือนของทีมชาติ เบลารุส

    โดย โรนัลด์ คูมัน เทรนเนอร์ของฮอลแลนด์ จัดเต็มผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามนำโดยกองหน้าตัวเก่งอย่าง เมมฟิส เดอปาย พร้อมมี ไรอัน บาเบิล และจอร์จินโย่ ไวนัลดุม สนับสนุนเกมรุก ขณะที่ อิกอร์ คริอูเชนโก้ เทรนเนอร์ทีมชาติเบลารุส ยังมีผู้เล่นแกนหลัก อเล็กซานเดอร์ มาร์ตีโนวิช แนวรับตัวเก่งลงสนาม ส่วน อเล็กซานเดอร์ คเล็บ กองกลางประสบการณ์สูง ออกสตาร์ทเป็นตัวสำรอง


    แค่นาทีแรกเจ้าถิ่นก็ได้เฮเลยจากจังหวะที่ อิกอร์ ชิตอฟ คืนหลังไม่ดีไปเข้าทาง เมมฟิส เดอปาย แตะหลบนายด่าน เบลารุส หนึ่งจังหวะก่อนจะจิ้มบอลไปชนเสาเข้าประตูให้ ฮอลแลนด์ ขึ้นนำอย่างรวดเร็ว ต่อมานาทีที่ 20 ทีม "อิศวินสีส้ม" นำห่างเป็น 2-0 จากการที่ เมมฟิส เดอปาย  จับบอลในกรอบเขตโทษและตอกส้นแบบสุดเหนือให้ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม ซัดประตูเข้าไป จบครึ่งแรก ฮอลแลนด์ นำสบาย 2-0

    ครึ่งหลัง เจ้าถิ่นมาบวกสกอร์เพิ่มเเป็น 3-0 นาทีที่ 55 หลังแนวรับเบลารุสไปเข้าหนักใส่ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม ทำให้เป็นจุดโทษแล้วเป็น เมมฟิส เดอปาย ที่สังหารเข้าไปเป็นประตูที่สองของเจ้าตัว ก่อนท้ายเกม "อิศวินสีส้ม" มาได้ประตูที่ 4 ในนาที 86 จาก เมมฟิส เดอปาย เปิดบอลทางด้านขวาของเขตโทษให้ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ โขกตุงเข้าประตู จบเกม ฮอลแลนด์ ประเดิมคัดเลือกยูโร 2020 ได้อย่างแจ่ม ถล่ม เบลารุส ขาดลอย 4-0 เก็บสามแต้มขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงของกลุ่มซี


 โครเอเชีย 2-1 อาเซอร์ไบจาน​

    อีกหนึ่งสนามจากกลุ่มอี เป็นการพบกันระหว่าง โครเอเชีย รองแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 พบกับ อาเซอร์ไบจาน โดยเจ้าถิ่นวาง บรูโน่ เพ็ตโควิช ยืนหัวหอกตัวเป้า ส่วนแดนกลางอัดแน่นทั้ง ลูก้า โมดริช, มัตเตโอ โคาซิช, อีวาน ราคิติช และอีวาน เปริซิช ขณะที่ทีมเยือน ส่ง รามิล เซย์ดาเยฟ กองหน้าดาวรุ่งเป็นตัวความหวังในการจบสกอร์

    เริ่มเกม อาเซอร์ไบจาน ก็ทำช็อกเจ้าถิ่นตั้งแต่นาที่ที่ 19 เมื่อ รามิล เซย์ดาเยฟ หัวหอกตัวเก่งของทีมเยือนได้ลากเลื้อยบอลด้านขวาเข้าเขตโทษก่อนจะซัดด้วยขวาเต็มแรงแสกหน้าของ ลอฟเร่ คาลินิช นายทวารของเจ้าถิ่น เข้าไปแบบสวยงามให้ทีมเยือนขึ้นนำ อย่างไรก็ตามก่อนหมดครึ่งแรก 1 นาที โครเอเชีย มาได้ประตูตีเสมอจากจังหวะที่ ลูก้า โมดริช เปิดเตะมุมเสาแรกมาให้ อีวาน เปริซิช โขกเสยต่อให้ ดูเย่ คาเลต้า-คาร์ โหม่งไปติดเซฟนายด่านทีมเยือน ก่อนบอลจะไปเข้าทาง บอร์นา บาริซิช ซ้ำเข้าประตูไป

    ครึ่งหลัง "ตาหมากรุก" มาได้ประตูแซงขึ้นนำนาทีที่ 79 หลัง อันเดร ครามาริช ได้บอลส้มหล่นทางซ้ายมือในเขตโทษ ก่อนจะโชว์สกิลหลอกยิงด้วยซ้ายและล็อกเข้าขวาปั่นโค้งเสียบเสาไกลไปแบบงามหยด เป็นประตูชัยให้ โครเอเชีย เอาชนะ อาเซอร์ไบจาน 2-1 ประเดิมเก็บสามแต้ม

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2562

ใครจะอยู่จะไปในสายตาคล็อปป์ ? : แข้งลิเวอร์พูลคนไหนจะได้ไปต่อซีซั่น 2019-20

ใครจะอยู่จะไปในสายตาคล็อปป์ สำหรับฤดูกาลปัจจุบัน ลิเวอร์พูล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาฟอร์มการเล่น

ใครจะอยู่จะไปในสายตาคล็อปป์ พวกเขากำลังมีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ครั้งแรกในรอบ 29 ปี แต่แน่นอนว่าในขณะเดียวกัน "หงส์แดง" ก็ต้องมีการวางแผนสำหรับฤดูกาลใหม่ ว่าจะสร้างทีมออกมาในรูปแบบไหนเพื่อลุยเกมลีกในซีซั่น 2019-20
    ผลงานของทีมในฤดูกาลนี้ อาจจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการที่จะเก็บหรือขายนักเตะออกไปในช่วงซัมเมอร์นี้ แน่นอนว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน จำเป็นต้องคิดให้ถ้วนถี่ เพราะการที่จะพัฒนาทีมให้แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องจำเป็นต้องมีขุมกำลังที่พลั่งพร้อมที่จะลงสนามทดแทนกันและกันได้

     แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากการที่พวกเขาดึงนักเตะใหม่มาเสริมทัพ แต่กระนั้นสิ่งที่น่ากังวลก็คือนักเตะที่มีอยู่ในปัจจุบัน (ที่ดึงตัวมาร่วมทีมซัมเมอร์ที่ผ่านมา และที่มีอยู่ดิม) ยังดีพอที่จะรักษามาตรฐานของตัวเองเอาไว้ได้อยู่หรือไม่ ผลงานในซีซั่นนี้น่าจะเป็นบทสรุปที่ดีที่สุด

ผู้รักษาประตู


อลีสซง เบ็คเกอร์ : ไม่ต้องคิดอะไรมาก - เก็บเอาไว้

ซิมง มิโญเลต์ : นายทวารชาวเบลเยียม  แสดงใหเห็นถึงความเป็นมืออาชีพอย่างสูง นับตั้งแต่ที่โดนสโมสรเมินแม้พวกเขาจะปล่อย ลอริส คาริอุส ออกไปจากถิ่นแอนฟิลด์แล้วก็ตาม และนั่นทำให้เขาได้อยู่กับทีมต่อไป แน่นอนว่า มิโญเลต์ สมควรได้รับเครดิตจากความเป็นมืออาชีพ และโกล์วัย 31 ปี สมควรได้รับโอกาสที่จะย้ายไปที่อื่น - ขาย

กองหลัง


เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ : บอกเลยว่าควรมีออปชั่นต่อสัญญายาว 10 ปี  - เก็บเอาไว้

เดยัน ลอฟเรน : ปราการหลังชาวโครเอเชีย เป็นกองหลังที่แข็งแกร่งมากๆ และเขาทำผลงานได้ดีเยี่ยมในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามนักเตะมักเจอปัญหาบาด และอาการป่วยรบกวน ทำให้ส่งผลกระทบการลงสนามอยู่บ้าน กระนั้นด้วยสัญญาที่เหลืออยู่ 2 ปี และหาก "หงส์แดง" อยากได้เงินค่าตัวสูง มีความเป็นไปได้ว่า ลอฟเรน จะโดนปล่อยตัว เพื่อทีมจะได้มีเงินสำหรับซื้อเซนเตอร์แบ็กคนใหม่ - ขาย


โจ โกเมซ : แข้งดาวรุ่งที่ฟอร์มร้อนแรงสุด และคาดว่าคงจะมีโชคเรื่องอาการบาดเจ็บอยู่บ้านในฤดูกาลหน้า - เก็บเอาไว้

โรแบร์โต้ โมเรโน่ : เขาอายุเพียง 26 ปีเท่านั้น ฉะนั้นยังมีเวลาที่จะพัฒนาและเจริญเติบโตในอาชีพพ่อค้าแข้งได้ แต่เขาคงจะต้องโบกมือลาทีมในช่วงซัมเมอร์นี้เมื่อหมดสัญญา - ขาย


แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน : ต้องบอกว่านี่คือนักเตะที่ลิเวอร์พูลขาดไม่ได้เลยในซีซั่นนี้ ฉะนั้นฤดูกาลหน้า โรเบิร์ตสัน ไม่ควรจะย้ายไปไหนทั้งสิ้น แต่กระนั้นผลงานของเขาต้องทำให้ อดัม ลูอิส ดาวรุ่งพุ่งแรงที่เพิ่งเลื่อนขึ้นมาอยู่ในทีมชุดใหญ่ต้องพบกับความยากลำบากในการได้รับโอกาสลงสนาม - เก็บเอาไว้

โฌเอล มาติป : จากตัวเลือกอันดับ 4 ในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก ตอนนี้เขาได้ลงสนามอย่างต่อเนื่องในฐานะคู่หู ฟาน ไดค์ แน่นอนว่า มาติป ยังเหลือสัญญากับทีม 1 ปี และถ้าเขาแฮปปี้กลับการไปเป็นตัวเลือกที่ 4 ก็ควรมีชื่อเจ้าตัวอยู่กับทีมในฤดูกาลหน้า - เก็บเอาไว้



คี-ยานา ฮูแฟร์ : ได้ร่วมฝึกซ้อมเต็มซีซั่นกับทีมสุดใหญ่ และมีลุ้นก้าวขึ้นมาเป็นเด็กมหัศจรรย์ของทีม - เก็บเอาไว้

ราฟาเอล คามาโช่ : เขามีโอกาสที่จะย้ายไปเล่นแบบยืมตัวในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 เดือนมกราคม แต่ตอนนี้เจ้าตัวอยู่กับ "หงส์แดง" และได้ลงเล่นทีมตัวจริง 2 แมตช์ในตำแหน่งแบ็กขวา แน่นอนว่าเขามีประโยชน์กับทีมจากเล่นในตำแหน่งอื่นๆ ก็ได้ - เก็บเอาไว้(แต่ปล่อยยืมตัว)


เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ :  อยากจะรู้ว่าจะมีใครเห็นเขาย้ายไปเล่นที่อื่นไหม ? - เก็บเอาไว้

นาธาเนียล ไคลน์ : เขาเลือกย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล เพื่อไปเล่นแบบยืมตัวกับ บอร์นมัธ จนกระทั่งจบฤดูกาลนี้ แต่น่าจะได้ย้ายแบบถาวรช่วงซัมเมอร์ - ขาย

กองกลาง


ฟาบินโญ่ : เขาพัฒนาฝีเท้าดีขึ้นเรื่อยๆ ในฤดูกาลนี้ และดูเหมือนว่าจะกลายเป็นตัวหลักของทีมไปแล้ว - เก็บเอาไว้

จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม : ต้องบอกว่าเลยนี่คือนักเตะคนสำคัญ และเป็นศูนย์กลางในแผนการสร้างทีมของ คล็อปป์ - เก็บเอาไว้


เจมส์ มิลเนอร์ : มีหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า มิลเนอร์ ยังมีสภาพร่างกายฟิตพอเล่นในระดับสูงต่อไปอีกไหม แต่จากการที่นักเตะมีออปชั่นขยายสัญญาไปถึงปี 2020 แน่นอนว่า มิลเนอร์ พร้อมที่จะอยู่กับทีมต่อไปจนกระทั่งอายุ 34 ปี ส่วนเรื่องสภาพความฟิตไม่มีปัญหาอยู่แล้ว - เก็บเอาไว้

นาบี เกอิต้า : ไม่ควรที่จะยกธงขาวสำหรับนักเตะเจ้าของค่าตัว 52 ล้านปอนด์ (ราว 2,132 ล้านบาท) เร็วเกินไป แต่ ลิเวอร์พูล คาดหวังให้นักเตะอยู่กับทีมต่อไปในฤดูกาลหน้า - เก็บเอาไว้ 


จอร์แดน เฮนเดอร์สัน : แม้ว่า เฮนโด้ จะโดนโจมตีเรื่องฟอร์มการเล่น และบ้างครั้งมีการล้อเลียนว่าเมื่อไหร่ที่เขาไม่ได้ลงสนามทีมชนะแน่ แต่ เฮนเดอร์สัน ยังมีส่วนสำคัญกับทีมและความเป็นผู้นำจะช่วย "หงส์แดง" ได้เยอะ - เก็บเอาไว้

อดัม ลัลลาน่า : เขาเพิ่งจะแสดงให้เห็นคุณภาพชั้นยอดในการช่วยทีมคว้า 3 แต้มในเกมชนะเบิร์นลี่ย์ แต่มันคงยากจะได้เห็นเขาลงสนามหากนักเตะคนอื่นๆ ฟิตเต็มร้อย ด้วยสัญญาที่เหลืออยู่ 1 ปี อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายถ้าเขาย้ายทีม - ขาย


อเล็กซ์ อ๊อกเลค-แชมเบอร์เลน : ช่วงปรีซีซั่นคงเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ สำรหับนักเตะเนื่องจากเขาไม่ได้ลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ และมีความเป็นไปได้ที่จะได้อยู่กับทีมในฤดูกาลหน้า - เก็บเอาไว้

เซอร์ดาน ชากีรี่ : ค่อนข้างน่าเป็นห่วงเนื่องจากช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ชากีรี่มีปัญหาบาดเจ็บ และฟอร์มตก แต่เขายังดีพอที่จะได้อยู่กับทีมต่อไป - เก็บเอาไว้


 เคอร์ติช โจนส์ :  แข้งดาวรุ่งที่น่าสนใจมากๆ และมีความมุ่งมั่นที่จะคว้าโอกาสในการพิสูจน์ตัวเองช่วงปรีซีซั่น เพราะเขาเคยทำได้มาแล้วตอนที่อยู่ในอเมริกาเมื่อปีที่ผ่านมา การส่งไปเล่นแบบยืมตัวคงจะเป็นทางเลือกที่ต้องระมัดระวังให้ถ้วนพี่ แต่เขายังมีค่าสำหรับการอยู่กับทีม - เก็บเอาไว้ (แต่ส่งไปเล่นยืมตัว)

มาร์โก กรูยิช : ยังคงเป็นนักเตะตัวความหวังในแอนฟิลด์ โดย ดาวเตะเซอร์เบีย ทำผลงานได้น่าประทับใจในการเล่นแบบยืมตัวที่ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ฤดูกาลนี้ แต่นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีเยี่ยมในการทำเงินจากนักเตะ - ขาย


เบน วู้ดเบิร์น : แข้งเลือดเวลส์ ย้ายไปเล่นแบบยืมตัวกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เพื่อไม่ให้นักเตะต้องเสียเวลาไปกับการอยู่ในซุ้มม้านั่งสำรอง แต่นี่คือดาวรุ่งอีกคนที่ยังเหมาะสมที่จะได้อยู่กับทีม - เก็บเอาไว้ (แต่ส่งเล่นยืมตัว)

แฮร์รี่ วิลสัน :วิลสันโชว์ฟอร์มได้ดีที่ ดาร์บี้ ทำให้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล ต้องตั้งคำถามเอาไว้ในใจว่าจะให้นักเตะย้ายไปเล่นแบบยืมตัวต่อไป หรือนำเขากลับมาอยู่ในทีมชุดใหญ่ - เก็บเอาไว้

กองหน้า


โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ : ไม่ต้องคิดมาก - เก็บเอาไว้

ซาดิโอ มาเน่ : ถ้าเขาย้ายทีมงานนี้ "เดอะ ค็อป" ก่อจลาจลแน่นอน - เก็บเอาไว้


โมฮาเหม็ด ซาลาห์ : บาร์เซโลน่า กับ เรอัล มาดริด ตกเป็นข่าวอยากได้นักเตะรายนี้เหลือเกิน แต่คำตอบก็คือไม่มีทาง - เก็บเอาไว้

แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ :เขากลับมามีอนาคตกับ "เดอะ เร้ดส์" หลังดูเหมือนหมดอนาคตกับทีมไปแล้ว แต่กระนั้นนักเตะคงไม่ได้อยู่ในแผนการสร้างทีมของ คล็อปป์ - ขาย


ไรอัน บรูว์สเตอร์ : ยังมีโอกาสในการเล่นทีมชุดใหญ่ลิเวอร์พูล ที่สำคัญ คล็อปป์ ค่อนข้างชื่นชอบนักเตะรายนี้พอสมควร - เก็บเอาไว้

ดิว็อค โอริกี้ :  เป็นนักเตะอีกคนที่น่าจะได้ลงเล่นตัวจริงหากอยู่กับสโมสรอื่น แต่กระนั้นเขาก็ทำให้แฟนบอล "หงส์แดง" มีความสุขโดยเฉพาะในเกมที่ชนะ เอฟเวอร์ตัน ช่วงต้นซีซั่น อย่างไรก็ตามการที่สัญญาของนักเตะจะหมดลงในฤดูกาลหน้า แน่นอนว่าเขาอาจจะได้รับอนุญาตให้ย้ายทีมเพื่อที่จะได้มีพื้นที่ว่างให้ คล็อปป์ ซื้อกองหน้าตัวใหม่เข้ามาเสริมทัพ - ขาย 

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2562

5ข้อรู้จักคัลลั่ม ฮัดสัน โอดอยดาวรุ่งดวงใหม่ทีมชาติอังกฤษ

5ข้อรู้จักคัลลั่ม ฮัดสัน โอดอย ปีกอนาคตไกล เชลซี หลังได้โอกาสติดทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในเกม ยูโร 2020 รอบคัดเลือก

5ข้อรู้จักคัลลั่ม ฮัดสัน โอดอย  แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ เรียกตัว คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ปีกดาวรุ่ง เชลซี เข้ามาเสริมทัพ "สิงโตคำราม" ชุดทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป "ยูโร 2020" รอบคัดเลือก กลุ่ม เอ กับ สาธารณรัฐเช็ก วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม และ มอนเตเนโกร วันอังคารที่ 25 มี.ค.นี้ หลังจากมีนักเตะถอนตัวไปหลายราย

    ฮัดสัน-โอดอย วัย 18 ปี เข้ามาติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เป็นครั้งแรก โดยเจ้าตัวมีผลงานและประวัติเป็นมาอย่างไรบ้าง เราจะไปทำความรู้จักเขากันแบบสั้นๆ ใน 5 ข้อนี้

  1. พาอังกฤษชุดเล็กคว้าแชมป์โลกมาแล้ว



    ฮัดสัน-โอดอย ติดทีมชาติอังกฤษ มาแล้วแทบทุกชุดไล่ตั้งแต่รุ่น ยู-16, ยู-17, ยู-18 และยู-19 ก่อนที่จะเพิ่งได้โอกาสมาติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรก

    ดาวรุ่ง เชลซี ช่วยให้ทีมชาติอังกฤษ คว้าแชมป์โลกรุ่นอายุต่ำกว่า 17 ปี ที่ประเทศอินเดีย เมื่อปี 2017 โดยทำ 2 แอสซิสต์ ในนัดชิงชนะเลิศ ที่เอาชนะ สเปน 5-2

    2. ช่วย เชลซี ซิวแชมป์ ยูธ คัพ



    ฮัดสัน-โอดอย อยู่กับ เชลซี มาตั้งแต่ปี 2007 ก่อนที่จะได้โอกาสเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2017

    ตอนเล่นให้ทีมเยาวชนของสโมสรนั้น เขาเป็นกำลังหลักของทีมที่ได้แชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ 2 สมัย และแชมป์ พรีเมียร์ลีก ชุดอายุต่ำกว่า 18 ปี

    3. บาเยิร์น อยากได้ไปร่วมทีม   



    แม้ ฮัดสัน-โอดอย ไม่ค่อยได้ลงเป็นตัวจริงในเกม พรีเมียร์ลีก ให้กับ เชลซี แต่เจ้าตัวก็ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจในถ้วย ยูโรปา ลีก โดยทำไปแล้ว 5 ประตู จากการลงเล่นรวมทุกรายการ 19 นัด

    ดาวเตะเชื้อสายกานาวัย 18 ปี ตกเป็นเป้าหมายเสริมทัพของ บาเยิร์น มิวนิค โดย "เสือใต้" พร้อมทุ่มเงิน 30 ล้านปอนด์ขอซื้อเมื่อเดือนมกราคม ที่ผ่านมา แต่ เชลซี ปฎิเสธกลับไป

    อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า "เสือใต้" คงจะกลับมายื่นข้อเสนออีกครั้งในช่วงเปิดตลาดซัมเมอร์นี้ และหากยังไม่มีโอกาสลงเป็นตัวจริงให้ เชลซี ก็คาดว่า โอดอย พร้อมจะไปเล่นที่ บุนเดสลีกา อย่างแน่นอน

    4. พี่ชายเป็นนักฟุตบอลเหมือนกัน



    แบร็ดลี่ย์ พี่ชายวัย 29 ปีของ คัลลั่ม ก็เป็นนักฟุตบอลเหมือนกัน และเพิ่งย้ายไปอยู่กับ โวคกิ้ง ทีมใน เนชันแนล ลีก เซาธ์ เมื่อเดือนมกราคม ที่ผ่านมา

    แบร็ดลี่ย์ เป็นเด็กฝึกหัดของ ฟูแล่ม และเล่นในตำแหน่งกองหน้า แต่ไม่เคยได้เล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ "เจ้าสัวน้อย" และจากนั้นส่วนใหญ่ก็ต้องระหกระเหินไปเล่นให้กับบรรดาทีมนอกลีก

    5. คุณพ่อเคยเป็นนักเตะอาชีพ



    บิสมาร์ค โอดอย คุณพ่อของแข้งดาวรุ่ง เชลซี เคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพมาก่อนเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ลูกๆ ได้แรงบันดาลใจมาจากใคร

    บิสมาร์ค เคยค้าแข้งกับ ฮาร์ทส์ ออฟ โอค ทีมในบ้านเกิดกานา โดยเล่นในตำแหน่งกองกลาง

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2562

ใครได้เปรียบ?เฮสกีย์ว่ายังไงสถานการณ์2ทีมลุ้นแชมป์

ใครได้เปรียบ เอมิล เฮสกีย์ อดีตหัวหอกชาวอังกฤษ แสดงความเห็นเกี่ยวกับการขับเคี่ยวลุ้นแชมป์ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้

ใครได้เปรียบ ในตอนนี้ โดยบอกว่า "หงส์แดง" ได้เปรียบกว่าอีกฝ่าย เพราะต่อให้ "เรือใบสีฟ้า" จะลงเล่นน้อยกว่าอยู่ 1 เกม แต่การที่ ลิเวอร์พูล แซงขึ้นเป็นจ่าฝูงไปก่อนมันก็สร้างความกดดันให้ แมนฯ ซิตี้ ได้เป็นอย่างดี
    เอมิล เฮสกีย์ อดีตกองหน้าชาวอังกฤษ แสดงความเชื่อว่าตอนนี้ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในการไล่ล่าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ

    ลิเวอร์พูล เคยครองอันดับ 1 ของตารางคะแนนอยู่พักใหญ่ แต่พวกเขาก็ทำแต้มหล่นเยอะเกินไปจนทำให้ถูก แมนฯ ซิตี้ แซงไป จนทำให้หลายคนมองว่าแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้น่าจะตกเป็นของ "เรือใบสีฟ้า" อีก 1 ซีซั่น ก่อนที่ล่าสุด "หงส์แดง" จะกลับมาเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง จากการบุกไปเฉือนชนะ ฟูแล่ม 2-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม ที่ผ่านมา ทำให้พวกเขามี 76 คะแนน จากการลงเล่น 31 นัด นำหน้า แมนฯ ซิตี้ 2 แต้ม อย่างไรก็ตาม ทีมของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ลงเล่นมากกว่าอีกฝ่าย 1 เกม


    เฮสกีย์ ซึ่งเคยเล่นให้ ลิเวอร์พูล เผยว่า "ในแง่ของสภาพจิตใจแล้วมันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ อย่างที่คุณเห็นเมื่อก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ตลอด ในขณะที่อีกฝ่ายพยายามที่จะยังนำต่อไปให้ได้อยู่เสมอ และตอนนี้พวกเขาก็ได้เปรียบแล้ว การมีแต้มอยู่แล้วน่ะ มันดีกว่าการต้องลงไปเล่นเพื่อลุ้นเก็บแต้มให้ได้เป็นธรรมดา"

    "แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องลงเล่นนัดต่อไปโดยที่รู้ว่าพวกเขาจำเป็นต้องชนะให้ได้ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขากลับไปเจอกับแรงกดดัน และเราก็ต้องมาดูกันว่าพวกเขาจะรับมือกับความกดดันที่ว่านั่นได้ดีแค่ไหน"

    อย่างไรก็ตาม อดีตแข้งวัย 41 ปี ก็มองว่า แมนฯ ซิตี้ เป็นหนึ่งในทีมที่มีประสบการณ์ดีจนไม่มีปัญหาอะไรในการเป็นฝ่ายไล่ล่าเลย และคิดว่าทีมของ โจเซป กวาร์ดิโอล่า ชอบลงเล่นในฐานะผู้ตามซะด้วย "แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดูจะเป็นทีมที่ทำได้ดีในด้านนั้น ยังไงซะพวกเขาก็เคยทำได้มาแล้ว พวกเขามีนักเตะที่อยากสู้ในรูปแบบนั้น แต่ยังไงซะตอนนี้พวกเขาก็ยังต้องลงไปเก็บแต้มให้ได้ซะก่อน"

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2562

ดิมาเรียเบิ้ล! เปแอสเชฟอร์มแชมป์อัดมาร์กเซย10คนเดินหน้ารอรับถ้วย

ดิมาเรียเบิ้ล โธมัส ทูเคิ่ล เทรนเนอร์ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ไม่มีปัญหาในการเตรียมรับถ้วยแชมป์

ดิมาเรียเบิ้ล หลังเปิดบ้านเชือด โอลิมปิก มาร์กเซย ที่เหลือผู้เล่น 10 คน 3-1 โดยได้ อังเคล ดิ มาเรีย ซัดคนเดียว 2 ประตูเก็บเพิ่มเป็น 77 คะแนน ยึดจ่าฝูงทิ้งรองจ่าฝูง ลีลล์ 20 แต้ม แถมแข่งน้อยกว่า 1 นัด ในศึกฟุตบอล ลีกเอิง ฝรั่งเศส คืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
สนาม : ปาร์ก เดอ แปงส์

    สำหรับแมตช์คลาสสิกนัดนี้ แฟนบอลมาร์กเซยถูกห้ามเข้ามาเชียร์ที่ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ เนื่องจากกลัวมีการจลาจลเกิดขึ้น  โธมัส ทูเคิ่ล เทรนเนอร์ชาวเยอรมันของปารีส แซงต์-แชร์กแมง วัย 45 ปี นำทีมลงสนามล่าสุดบุกต้อน ดิฌง 4-0 ในลีก เอิง เกมตกค้างนัดที่ 18 เมื่อคืนวันอังคารที่ 12 มีนาคม

    รูดี้ การ์เซีย เทรนเนอร์มาร์กเซยวัย 55 ปี นำทีมไม่แพ้ 6 นัดซ้อนในลีก เอิง ล่าสุดเปิดบ้านสยบ นีซ 1-0 ในลีก เอิง นัดที่ 28 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม ซึ่งการ์เซียไม่มีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บและติด
โทษแบน


    เริ่มต้นเกมได้ 2 นาทีเป็น ทีมเยือน ทักทายก่อนจาก มาริโอ บาโลเตลลี่ ได้ลองปั่นด้วยขวาระยะ 25 หลาบอลโค้งเลียดแต่ไม่หนีตัว อัลฟงส์ อเรโอล่า นายทวาร "เปแอสเช" ล้มตัวรับไว้ได้

    นาทีที่ 6 "เปแอสเช" เกือบได้ของขวัญเป็นจังหวะคืนหลังง่ายๆของ บูบาการ์ กามาร่า แต่ สตีฟ ม็องด็องด้า นายด่าน "โอแอ็ม" แตะบอลพลาดเกือบเข้าประตูตัวเอง


    นาทีที่ 15 "เปแอสเช" เกือบได้ประตูขึ้นนำเป็น อังเคล ดิ มาเรีย หลุดขึ้นไปยกบอลข้าม สตีฟ ม็องด็องด้า บอลไปซุกก้นตาข่ายอย่างเหนือชั้นแต่ผู้ตัดสินขอดู "วีเออาร์" และมองว่าเป็นจังหวะล้ำหน้า ยังไม่มีสกอร์

    ก่อนหมดครึ่งเวลาแรก 15 นาที "เปแอสเช" ต้องเสียโควต้าเปลี่ยนตัวเร็ว เมื่อ ดาเนียล อัลเวส บาดเจ็บ โธมัส ทูเคิ่ล ไม่มีทางเลือกส่ง โกแล็ง ดักบา แนวรับดาวรุ่งวัย 20 ปี ลงสนามแทน


    แถมอีก 6 นาทีต่อมา โธมัส มูนิเย่ร์ มาบาดเจ็บเพิ่มไปอีกคน ต้องส่ง ธีโล เคห์เรอร์ ลงมาอีกคน ท้ายเกมครึ่งแรกเกมค่อนข้างเดือด แต่ยังไม่มีประตูเกิดขึ้น

    ช่วงทดเจ็บนาทีที่ 2 "เปแอสเช" ทะยานออกนำจากจังหวะสวนกลับและเป็น อังเคล ดิ มาเรีย พาบอลแหวกหนีแนวรับทีมเยือนก่อนไหลนิ่มๆเข้าเขตโทษให้ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ เอียงตัวแปร์ด้วยขวาตุงตาข่าย ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 1  โอลิมปิก มาร์กเซย 0


    และหมดครึ่งเวลาแรกด้วยสกอร์นี้

    27 วินาทีของครึ่งหลัง "โอแอ็ม" ได้ประตูตีเสมออย่างรวดเร็วเป็นจังหวะบอลยาวของ สตีฟ ม็องด็องด้า ให้ ลูคัส โอคัมโปส ลากเข้าเขตโทษก่อนเปิดให้ วาแลร์ แชร์กแมง ตวัดด้วยซ้ายแบบไม่จับเข้าไป ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 1  โอลิมปิก มาร์กเซย 1


    นาทีที่ 55 เจ้าถิ่น มาได้ประตูออกนำอีกครั้งเป็น อังเคล ดิ มาเรีย ลากบอลทำชิ่งกับ ธีโล เคห์เรอร์ ก่อนหลุดเข้าเขตโทษ ได้เอียงปั่นด้วยซ้ายเสีบหน้าต่างเสาสองกอ่นเป็น  ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 2  โอลิมปิก มาร์กเซย 1

    อาการหนักสำหรับ ทีมเยือน นาทีที่ 61 สตีฟ ม็องด็องด้า ออกมาตัดบอลนอกกรอบเขตโทษและเจตนาใช้มือบล็อคลูกยิงของ ดิ มาเรีย ผู้ตัดสินไม่รอช้าให้ใบแดงออกจากสนามทันที


    พระเอกของเกม อังเคล ดิ มาเรีย มาบวกสกอร์เพิ่มจากจังหวะต่อเนื่องเป็นฟรีคิกสุดสวยด้วยซ้ายเข้าสามเหลี่ยม ชนิดที่ โยฮันน์ เปอเล่ นายด่านสำรอง "โอแอ็ม" ได้แค่่มอง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 3 โอลิมปิก มาร์กเซย 1

    ช่วงทดเจ็บ "เปแอสเช" พลาดโอกาสหนีห่างหลัง คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ซัดลูกจุดโทษไปติดเซฟ โยฮันน์ เปอเล่


    จบเกม ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 3  โอลิมปิก มาร์กเซย 1 ลูกทีมของ  โธมัส ทูเคิ่ล ขยับเข้าใกล้แชมป์หลัง ยึดจ่าฝูงแน่น โดยมีเพิ่มเป็น 77 คะแนนทิ้งรองจ่าฝูง ลีลล์ 20 แต้ม แถมแข่งน้อยกว่า 1 นัด
   
รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

    ปารีส แซงต์-แชร์กแมง : อัลฟงส์ อเรโอล่า - มาร์กินญอส, ติอาโก้ ซิลวา (กัปตันทีม), เพรสแนล คิมเพมเบ้ - โธมัส มูนิเย่ร์ (ธีโล เคห์เรอร์ น.36), ดาเนียล อัลเวส (โกแล็ง ดักบา น.31), มาร์โก แวร์รัตติ, เลอันโดร ปาเรเดส, เลย์แว็ง คูร์กซาว่า (ฆวน เบร์นาต น.80) - คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้, อังเคล ดิ มาเรีย

    โอลิมปิก มาร์กเซย : สตีฟ ม็องด็องด้า (กัปตันทีม) - บูน่า ซาร์, ดูเย่ บูบาการ์ กามาร่า, ซาเลต้า-ซาร์, ฮิโรกิ ซากาอิ - ฟลอริย็อง โตแว็ง (เนมานย่า ราดอนยิช น.77), มักซีม โลเปซ (เควิน สตรอทมัน น.69), มอร์กกาน ซ็องซง, ลูคัส โอคัมโปส - มาริโอ บาโลเตลลี่ (โยฮันน์ เปอเล่ น.65),  วาแลร์ แชร์กแมง 

ผู้ตัดสิน : อ็องโตนี่ โกติเย่ร์

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th