คาสิโนออนไลน์

คาสิโนออนไลน์
คาสิโนออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2562

เด เคอาซองแตก! แมนยูเซ็งโดนเชลซีไล่เจ๊า ชวดแซงปืนทาบท็อปโฟร์

เด เคอาซองแตก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พลาดโอกาสแซงอาร์เซน่อลขึ้นท็อปไฟว์หลังทำได้แค่เสมอกับ เชลซี 1-1

เด เคอาซองแตก ฆวน มาต้า ซัดให้ทีมขึ้นนำ แต่ท้ายครึ่งแรก ดาบิด เด เคอา มาซองแตกรับไม่อยู่โดน มาร์กอส อลอนโซ่ ซ้ำบอลเข้าไปให้ "สิงห์บลูส์" บุกมาแบ่งแต้มยึดที่ 4 เหมือนเดิมมี 68 คะแนน ขณะที่ "ปีศาจแดง" ยังรั้งอันดับ 6 เหมือนเดิม มี 65 แต้ม ในเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 36 เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
สนาม : โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด


    บิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีกวีกนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้รับข่าวดีเมื่อ อันเดร์ เอร์เรร่า หายเจ็บกลับมาลงสนามเป็นตัวจริงได้แล้ว แดนหน้าใช้ โรเมลู ลูกากู ประสานงานกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ล่าตาข่ายโดยมี ฆวน มาต้า เป็นตัวทำเกมสนับสนุน

    ด้าน "สิงห์บลูส์" มีข่าวดีเหมือนกันเมื่อ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ฟิตทันกลับมาลงสนามในแดนกลาง โดยมี เอแด็น อาซาร์ เป็นทีเด็ดในแดนหน้า

    ออกสตาร์ตไป 3 นาที แมนฯ ยูไนเต็ด กดดันก่อน ลุค ชอว์ วางบอลยาวข้ามกองหลังเชลซี ลูกากู สอดไปรับดึงลงได้สวย แต่งบอลมาเข้าเท้าซ้าย เข้าไปยิงทางซ้ายของเขตโทษ แต่โดน เกปา อาร์ริซซาบาลาก้า ปิดมุมเซฟได้สวย

    กระทั่งนาทีที่ 11 แมนฯ ยูไนเต็ด ออกนำ 1-0 โรเมลู ลูกากู กระดกบอลเข้าไปทางซ้ายของเขตโทษให้ ลุค ชอว์ สอดไปรับแล้วจ่ายหักกลับเข้ากลาง ฆวน มาต้า สอดมารับ แล้วยิงหักข้อด้วยขวา ส่งบอลเสียบตาข่าย ฉลองวันเกิดครบรอบ 31 ปีในวันนี้

    อีก 6 นาทีต่อมา เชลซี มาได้ฟรีคิกระยะราว 28 หลา ตรงหน้าประตูพอดี มาร์กอส อลอนโซ่ รับหน้าที่สังหาร ปั่นด้วยซ้าย แต่บอลหลุดกรอบ

    ผ่านมาถึงนาทีที่ 23 เชลซี มาได้เตะมุมทางซ้าย เล่นเป็นลูกสูตร เปิดมาหน้าเขตโทษให้ จอร์จินโญ่ ตะบันด้วยขวาแบบไม่ต้องจับ แต่ส่งบอลหลุดกรอบ

    เลยมาถึงนาทีที่ 27 แมนฯ ยูไนเต็ด เกือบจะได้อีกประตู จากจังหวะเปิดเตะมุมเข้ามาตรงกลาง รือดิเกอร์ โขกไปชนหัว มาร์กอส อลอนโซ่ บอลป้วนเปี้ยนที่หน้าปากประตู ไม่มีผู้เล่นแมนฯ ยูไนเต็ด มาซ้ำ โดน อัซปิลิกวยต้า เคลียร์ออกไป

    จังหวะต่อมา เจ้าบ้านกดดันด้วยลูกเตะมุมอีกครั้ง คราวนี้เปิดเข้ามาจากทางซ้าย เอริค ไบยี่ สอดมาโขกที่เสาแรก แต่บอลถากเสาสองออกหลังหวุดหวิด

    ท้ายครึ่งแรกนาทีที่ 44 เชลซี ตีเสมอสำเร็จ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ได้บอลในระยะ 40 หลา ตั้งป้อมยิงไกล บอลตรงกรอบ ดาบิด เด เคอา เหมือนจะเซฟได้ แต่ดันทำบอลหลุดมือ โดน มาร์กอส อลอนโซ่ ตามไปตวัดยิงซ้ำ ส่งบอลข้ามเส้นเข้าประตูไปครบ 45 นาทีแรก ทั้งสองฝั่งเสมอกันที่ 1-1

    กลับมาเตะได้ 4 นาที แมนฯ ยูไนเต็ด มาได้ฟรีคิกระยะ 30 หลา หน้าเขตโทษ มาร์คัส แรชฟอร์ด ปั่นด้วยขวา ส่งบอลข้ามกำแพงพุ่งหาโคนเสาแรก แต่น้ำหนักเบา โดน เกปา อาร์ริซซาบาลาก้า ขยับมาเซฟเอาไว้ได้ ซองไม่แตกด้วย

    นาทีที่ 58 เชลซี ทำเกมบุกมาทางขวา วิลเลี่ยน พยายามเปิดบอลยัดมาที่เสแรก กะเล่นงาน เด เคอา อีกครั้ง แต่คราวนี้ทำไม่สำเร็จ

    หลังจากนั้นเกมสะดุดต่อเนื่อง เพราะมีนักเตะทั้งสองฝั่งผลัดกันเจ็บ ทาง เชลซี เสีย รือดิเกอร์ เจ็บเข่า ต้องเปลี่ยนออก หลังจากนั้นก็เป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เสีย เอริค ไบยี่ ต้องโดนหามออกจากสนามเช่นกัน

    ช่วงท้ายเกม เจ้าบ้านเกือบจะได้ประตู จากจังหวะเตะมุมมาเสาสองให้ โรโฮ โขกเต็มๆ บอลจะข้ามเส้น แต่โดน เปโดร เคลียร์ออกมาอย่างหวุดหวิด ครบ 90 นาที แมนฯ ยูไนเต็ด เสมอกับ เชลซี 1-1 แบ่งกันไปทีมละคะแนน ส่งผลให้ เชลซี ยังรั้งอันดับ 4 เหมือนเดิมมีเพิ่มเป็น 68 คะแนน ส่วน แมนฯยูฯ ยึดที่ 6 แน่นมีเพิ่มเป็น 65 แต้ม ตามหลัง อาร์เซน่อล อันดับ 5 หนึ่งคะแนน โดยเหลือโปรแกรมให้ลุ้นในลีกอีก 2 แมตช์เท่านั้น

    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

    แมนฯยูไนเต็ด : ดาบิด เด เคอา - แอชลี่ย์ ยัง, เอริค ไบยี่ (มาร์กอส โรโฮ น.71), วิคตอร์ ลินเดเลิฟ, ลุค ชอว์ - อันเดร์ เอร์เรร่า, เนมานย่า มาติช, ปอล ป็อกบา - ฆวน มาต้า (สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ น.82) - โรเมลู ลูกากู, มาร์คัส แรชฟอร์ด (อเล็กซิสซานเชซ น.65)

    สำรองไม่ได้ใช้ : เซร์คิโอ โรเมโร่, อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล, อันเดรียส เปเรยร่า, มัตเตโอ ดาร์เมียน

    เชลซี : เกปา อาร์ริซซาบาลาก้า - เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์ (อันเดรียส คริสเตนเซ่น น.65), ดาวิด ลุยซ์, มาร์กอส อลอนโซ่ - เอ็นโกโล่ ก็องเต้, จอร์จินโญ่, มัตเตโอ โควาซิช (รูเบน ลอฟตัส-ชีค น.76) - วิลเลี่ยน (เปโดร น.84), กอนซาโล่ อิกวาอิน, เอแด็น อาซาร์

    สำรองไม่ได้ใช้ : วิลลี่ กาบาเยโร่, ดาวิเด้ ซัปปาคอสต้า, โอลิวิเยร์ ชิรูด์, รอสส์ บาร์คลี่ย์

    ผู้ตัดสิน : มาร์ติน แอตกินสัน

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2562

เสือใต้ลูบปาก!ดอร์ทมุนด์9คนกร่อยพ่ายชาลเก้คารังศึกเรเวียร์ดาร์บี้

เสือใต้ลูบปาก "เสือเหลือง" ดอร์ทมุนด์ สุดกร่อยลงทำศึกเรเวียร์ดาร์บี้ โดน "ราชันสีน้ำเงิน" ชาลเก้ บุกสอย 4-2

เสือใต้ลูบปาก เกมนี้ยังเหลือผู้เล่นแค่9คน หลัง มาร์โค รอยส์ และ มาริอุส โวล์ฟ โดนใบแดง น.60 และ น.65 ตามลำดับ ทำให้สถานการณ์แย่งแชมป์สำหรับเจ้าถิ่นหนักอึ้ง เพราะแม้จะตามหลัง บาเยิร์น หนึ่งคะแนน แต่แข่งมากกว่า1นัด โดยเหลือเกมลงสนามอีก3นัดเท่านั้น ในศึกบุนเดสลีกา เมื่อวันเสาร์ที่27เม.ย.
      เสือเหลือง ภายใต้การคุมทีมของ ลูเซียง ฟาฟร์ ยังหวังลุ้นแชมป์กับ บาเยิร์น มิวนิค โดยตามหลังแค่แต้มเดียว โดยสภาพทีมหมดสิทธิ์ใช้งานตัวเจ็บอย่าง ดาน อักเซล-ซากาดู (เข่า), ลูคัสซ์ พิซเซ็ค (กระดูกเท้า) และ อาชราฟ ฮาคิมี่ (กล้ามเนื้อ) แต่ได้ มาริอุส โวล์ฟ ฟิตกลับมายืนแบ็กขวา ส่วนแนวรุกจัดเต็ม เจดอน ซานโช่, มาร์โค รอยส์ และ ราฟาแอล เกร์เรยโร่ คอยปั้นเกมสนับสนุนหน้าเป้า มาริโอ เกิทเซ่


     ด้าน ราชันสีน้ำเงิน ช่วงหลังผลงานงานแย่หนักยังหมดสิทธิ์ใช้งานแข้งเดี้ยง สตีเว่น สเคอร์ซิบสกี้ (ต้นขา), อเลสซานโดร เชิพ์ฟ (เอ็นกล้ามเนื้อ), เยฟเกน โคโนเปลียนก้า (กล้ามเนื้อ) และ มาร์ค อูธ (เอ็นกล้ามเนื้อ)  แต่ได้ บาสเตียน อ็อคซิพก้า ฟิตกลับมาช่วยทีม โดยกองหน้าส่ง กีโด้ บวร์กชตัลเลอร์ ล่าตาข่ายคู่กับ บรีล เอ็มโบโล่

    เริ่มเกม 14 นาที เจ้าถิ่นขึ้นนำ 1-0 เมื่อ ซานโช่ เปิดเข้าเขตโทษให้ เกิทเซ่ วิ่งสอดทะลุแนวรับชาลเก้พุ่งโหม่งแสกหน้า อเล็กซานเดอร์ นือเบล นายทวารทีมเยือนเสียบตาข่าย

    4 นาทีต่อมา ชาลเก้ ได้จุดโทษ จากจังหวะที่ เอ็มโบโล่ ยิงบอลไปโดนมือซ้ายของ ยูเลี่ยน ไวเกิล ผู้ตัดสิน เฟลิกซ์ ซเวเยอร์ เช็กสัญญาณ VAR และชี้ไปที่จุดโทษ ดาเนียล คาลิจิวรี่ วิ่งเข้าแปไปทางขวามือไม่มีเหลือ

    นาที 28 ทีมเยือนได้ประตูที่ 2 เมื่อ คาลิจิวรี่ เปิดเตะมุมทางขวาบอลลอยโค้งมาเข้าหัว ซาลิฟ ซาเน่ ทะยานโขกเสียบมุมซ้ายมือ จบครึ่งแรก ชาลเก้ นำ ดอร์ทมุนด์ 2-1

    ครึ่งหลังเตะมาถึงหนึ่งชั่วโมงของเกม ดอร์ทมุนด์ เหลือ 10 คน เมื่อ มาร์โค รอยส์ กัปตันทีมพุ่งเสียบสกัดแรงจากข้างหลังใส่ ซูอัต เซอร์ดาร์ เลยโดนใบแดงไล่ออกจากสนามไป

    2 นาทีถัดมา ชาลเก้ ทิ้งห่าง 3-1 จากการยิงฟรีคิกสุดสวยของ คาลิจิวรี่

    มาถึงนาที 65 สถานการณ์ของ เสือเหลือง ย่ำแย่ลงไปอีก เมื่อเหลือแค่ 9 คน หลัง มาริอุส โวล์ฟ เสียบสกัดใส่ เซอร์ดาร์ คนเดิม และโดนใบแดงทันที

    ดอร์ทมุนด์ ไม่ถอดใจและไล่ตีตื้นเป็น 2-3 ในนาที 85 เมื่อ ยาค็อบ บรุนน์ ลาร์เซ่น มิดฟิลด์สำรอง โหม่งชงให้ อักเซล วิตเซล แปเผาขนไม่มีเหลือ

    แต่ไม่กี่อึดใจต่อมา บรีล เอ็มโบโล่ ก็พังสกอร์ตอกฝาโลงให้ ชาลเก้ บุกคว้าชัยงดงาม 4-2 ในดาร์บี้แคว้นรัวห์ร และส่งผลให้โอกาสลุ้นแชมป์ของ ดอร์ทมุนด์ เหลือน้อยลงไปอีก เพราะตามหลัง บาเยิร์น มิวนิค 3 แต้ม และลงเตะมากกว่า 1 นัด

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ : โรมัน เบือร์กี้, มาริอุส โวล์ฟ, ยูเลี่ยน ไวเกิล, มานูเอล อคานจี, อับดู ดิยัลโล่, โธมัส เดลานีย์, อักเซล วิตเซล, เจดอน ซานโช่, มาร์โค รอยส์, ราฟาแอล เกร์เรยโร่, มาริโอ เกิทเซ่

ชาลเก้ : อเล็กซานเดอร์ นือเบล, เบนฌาแม็ง สตอมบูลี่, ซาลิฟ ซาเน่, มาติย่า นาสตาซิช, ดาเนียล คาลิจิวรี่, เวสตัน แม็คเคนนี่, โอมาร์ มาสคาเรลล์, บาสเตียน อ็อคซิพก้า, ซูอัต เซอร์ดาร์, กีโด้ บวร์กชตัลเลอร์, บรีล เอ็มโบโล่

ผู้ตัดสิน : เฟลิกซ์ ซเวเยอร์

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2562

ลียงเจ๋งรัว2เม็ดครึ่งหลังบุกแซงบอร์กโดซ์10คนหืดจับ

ลียงเจ๋งรัว ศึกฟุตบอล ลีกเอิง เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 26 เมษายน ที่ผ่านมา จบลงด้วยความสุดมัน

ลียงเจ๋งรัว  หลัง ลียง แม้45นาทีแรกจะเป็นฝ่ายตามหลัง ทว่าช่วงครึ่งหลังกลับงัดฟอร์ดเด็ดซัดสองประตูไล่ถลุงบอร์กโดซ์ที่เหลือแค่ 10 คน 3-2 คว้าสามแต้มยึดอันดับ 3 ต่อไป
สนาม : มัตมุต อั๊ตล็องติก


    บอร์กโดซ์ ทีมอันดับ 14 เปิด มัตมุต อั๊ตล็องติก ปะทะ โอลิมปิก ลียง อันดับ 3 ในลีก เอิง ฝรั่งเศส คู่แรกของนัดที่ 34 ซึ่ง ลียง กำลังลุ้นโควตาไปแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในฤดูกาลหน้า

    เปาโล ซูซ่า เทรนเนอร์ชาวโปรตุกีสวัย 48 ปี ของบอร์กโดซ์ ได้ ปาโบล กองหลังบราซิลพ้นโทษแบน 2 เกม กลับมาลงสนาม

    ส่วน บรูโน่ เชเนซิโอ เทรนเนอร์ลียง  52 ปี ส่ง เมมฟิส เดอปาย ดาวเตะทีมชาติฮอลแลนด์ยืนกองหน้าตัวเป้า นาบิล เฟคีร์ กัปตันทีมนำเกมรุก

    เกมครึ่งแรก ผ่านไปเพียง 5 นาที ลียง เกือบได้ประตู จากลูกยิงเท้าซ้ายในกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายของ เมมฟิส เดอปาย ทว่าบอลไปชนคานอย่างจัง

    และแล้วนาที 14 ลียงนำ 1-0 ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล่ ได้บอล จ่ายให้ นาบิล เฟคีร์ กัปตันทีมเปิดจากนอกกรอบเขตโทษไปให้ มักซ์เวล กอร์กเน่ต์ ผ่านจากปีกขวาไปที่เสาสอง เมมฟิส เดอปาย ซัดเท้าซ้ายจ่อๆ เรียบร้อย นับเป็นประตูที่ 8 ของเขาในลีก เอิง ฤดูกาลนี้

    แต่นาที 34 บอร์กโดซ์ ตีเสมอ 1-1 จากลูกฟรีคิกทางฝั่งซ้ายระยะไกล นักเตะลียงสกัดบอลไม่ดีมาเข้าหัว โอตาวิโอ โขกจากนอกกรอบเขตโทษไปเข้าทาง จิมมี่ บริย็องด์ อดีตหัวหอกลียงซัลโวเท้าขวาหน้าประตูเข้าไป

    สองนาทีต่อมา บอร์กโดซ์ พลิกกลับมานำ 2-1 นิโกล่าส์ เดอ เพรวิลล์ ทำชิ่งกับ จิมมี่ บริย็องด์ จ่ายกลับมาให้ เดอ เพรวิลล์ ยิงเท้าขวาในกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายตุงตาข่าย

    จบครึ่งแรก บอร์กโดซ์นำ 2-1

    ครึ่งหลัง ลียง ตีเสมอ 2-2 นาที 67 นาบิล เฟคีร์ กัปตันทีมเปิดจากกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายให้ มักซ์เวล กอร์กเน่ต์ ยิงเท้าซ้ายระยะ 6 หลา เรียบร้อย

    นาที 72 มุสซา เด็มเบเล่ ดาวยิงตัวสำรองของลียงยิงตุงตาข่าย แต่ผู้ตัดสินไม่ให้ ลียง ได้ประตู โดยชี้เป็นจังหวะล้ำหน้า

    และบอร์กโดซ์ เหลือผู้เล่น 10 คน วูคาซิน โยวาโนวิช กองหลังโดนใบแดง ถูกไล่ออกจากสนาม ในนาที 73

    ห้านาทีสุดท้าย โอแอลมาได้ประตูชัย จากการยิงของ มุสซ่า เดมเบเล่ ทำให้จบเกม ลียงบุกเก็บชัยระทึกเหนือบอร์กโดซ์ 3-2 ยังรั้งอันดับ 3 ลีก เอิง ต่อไป

    รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม

    บอร์กโดซ์ : เบอนัวต์ กอสติล (กัปตันทีม) -  ปาโบล, วูคาซิน โยวาโนวิช, ชูลส์ คุนเด้ - ยุสซุฟ ซาบาลี, โตมา บาซิช, โอตาวิโอ, มักซีม เปิงด์เช่ - ฟร็องซัวส์ กามาโน่, จิมมี่ บริย็องด์, นิโกล่าส์ เดอ เพรวิลล์

    สำรอง : กาเอต็อง ปุสแซ็ง (ผู้รักษาประตู), เซร์จี้ ปาเลนเซีย, ยาโรสลาฟ พลาซิล, ยาซีน อั๊ดลี่, เซย์ดู ยุสซุฟ, ยันน์ คาราโมห์, ยาสซีน เบนราอู

    โอลิมปิก ลียง : แอนโธนี่ โลเปส - เคนนี่ เตเต้, มาร์เซโล่, เจสัน เดนาเยอร์, เลโอ ดูบัวส์ - ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล่, อุสเซม อาอูอาร์ - มักซ์เวล กอร์กเน่ต์, นาบิล เฟคีร์ (กัปตันทีม), มาร์กแต็ง แตร์ริเย่ร์ - เมมฟิส เดอปาย

    สำรอง : มาติเยอ กอร์ชแล็ง (ผู้รักษาประตู), เฌเรมี่ โมแรล, แฟร์กล็องด์ เมนดี้, ป๊าป เช็กห์ ดิย็อป, ลูก้าส์ ตูซาร์, มุสซา เด็มเบเล่, แบร์กทร็องด์ ตราโอเร่

    ผู้ตัดสิน : เบอนัวต์ บาสเตียง

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2562

กอร์เรอาหวดชัย! แอตมาดริดหืดเบียดบาเลนเซียเฮ จี้บาร์ซ่า9แต้มเหมือนเดิม

กอร์เรอาหวดชัย "ตราหมี" โล่งอกกว่าจะคว้าสามแต้มได้สำเร็จ

กอร์เรอาหวดชัย หลัง อังเคล กอร์เรอา ตัวสำรองลงมาซัดประตูชัยสุดสวยให้ทีมเปิดบ้านเบียดเอาชนะ บาเลนเซีย แบบหืดจับ 3-2 ซิวสามแต้มจี้จ่าฝูง บาร์เซโลน่า 9 คะแนน เหมือนเดิม ในเกม ลา ลีกา สเปน เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา
สนาม : ว่านต๋า เมโตรโปลีตาโน่

    "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด รองจ่าฝูง เกมนี้ได้ อองตวน กรีซมันน์ พ้นโทษแบนกลับมายืนคู่กับ อัลบาโร่ โมราต้า แต่ยังไม่มี ดีเอโก้ คอสต้า ที่ติดโทษแบนเกมที่ 3 จาก 8 นัด ส่วนทีมเยือน "ไอ้ค้างคาว" แมตช์นี้แนวรุกฝากความหวังไว้ที่ เกแว็ง กาเมโร่ และซานติ มิน่า

    เริ่มเกมมาในสภาพอากาศที่มีฝนตกลงมาโปรยปราย แค่ 9 นาทีแรก เจ้าถิ่นได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็ว เมื่อ ฆวนฟราน แบ็กขวาครอสบอลมาเสาสองให้ อัลบาโร่ โมราต้า พุ่งมาชาร์จจิ้มบอลเข้าประตูไป

    จากนั้นอีก 2 นาทีต่อมา โมราต้า เกือบจะพังตาข่ายลูกที่สองในเกมนี้ หลังรับบอลจาก อองตวน กรีซมันน์ ก่อนล็อกหลบแนวรับบาเลนเซีย แต่ซัดด้วยซ้ายเบาไปเข้ามือ เนโต้

    บาเลนเซีย แม้โอกาสจะน้อยกว่าแต่มาได้ประตูไล่ตีเสมอ 1-1 ในนาที 36 จากจังหวะที่ ซานติ มิน่า แทงบอลต่อให้ เกแว็ง กาเมโร่ ที่ไม่ล้ำหน้าได้บอลก่อนซัดด้วยขวาผ่านตัว ยาน โอบลัค เข้าไป ก่อนจะจบครึ่งเวลาแรกด้วยสกอร์นี้

    ครึ่งหลัง เริ่มมาได้ไม่กี่นาที นาที 50 เจ้าถิ่นยิงแซงขึ้นไปนำ 2-1 อีกหน จากจังหวะที่ โตมาส์ เลอมาร์ ครอสบอลเข้าไปหน้าประตูให้ อองตวน กรีซมันน์ ขึ้นโขกเข้าไปจมตาข่าย เป็นประตูที่ 15 ในลาลีกา ซีซั่นนี้


    ทว่า นาที 74 ซาอูล ญีเกซ มาทำแฮนด์บอลในเขตโทษ ผู้ตัดสินใช้ วีเออาร์ ก่อนจะชี้ให้จุดโทษแก่ทีมเยือนและเป็น ดานี่ ปาเรโฆ กัปตันทีมซัดเข้าไปไม่พลาดให้ ไอ้ค้างคาวไล่มาเสมอ 2-2

    ทว่า นาที 81 "ตราหมี" มาพลิกแซงขึ้นนำ 3-2 จนได้ จากจังหวะที่ โตมาส์ เลอมาร์ แทงบอลเข้ากลางให้ อังเคล คอร์เรอา ก่อนพลิกแล้วอัดเต็มแรงด้วยขวาบอลพุ่งเสียบเสาแรกเข้าไปอย่างงดงาม

    จบเกม แอตเลติโก มาดริด เอาชนะ บาเลนเซีย 3-2 เก็บสามคะแนน มีเพิ่มเป็น 71 คะแนน นั่งรองจ่าฝูงต่อไปโดยตามหลัง บาร์เซโลน่า จ่าฝูงถึง 9 คะแนน และเหลือโปรแกรมการแข่งขันอีก 4 นัดเท่านั้น

    11ผู้เล่นของทั้งสองทีม

        แอต.มาดริด (4-4-2) ยาน โอบลัค-ฆวนฟราน, สเตฟาน ซาวิช, ดีเอโก้ โกดิน, ฟิลิเป้ ลุยส์-โกเก้, ซาอูล ญีเกซ, โรดรี้, โตมาส์ เลอมาร์-อองตวน กรีซมันน์, อัลบาโร่ โมราต้า

        บาเลนเซีย (4-4-2) เนโต้-ดาเนี่ยล วาสส์, เอเซเกล การาย, มูคตาร์ เดียคาบี้, โฆเซ่ กาย่า-การ์ลอส โซเลร์, ฟร็องซิส โกเกอแล็ง, ดานี่ ปาเรโฆ, กอนซาโล่ กูเอเดส-เกแว็ง กาเมโร่, ซานติ มิน่า

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562

ลองทุบสถิติซัดเร็วสุด! เซาธ์แฮมป์ตันหงอยวัตฟอร์ดตีเจ๊าท้ายเกมยังลุ้นหนีตกชั้น

ลองทุบสถิติซัดเร็วสุด "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน ของนายใหญ่ ราล์ฟ ฮาเซ่นฮึทเทิ่ล พลาดโอกาสทองในการคว้าชัย

 
ลองทุบสถิติซัดเร็วสุด หลังโดนเจ้าถิ่น วัตฟอร์ด ตีเสมอช่วงท้ายเกม 1-1 โดย "นักบุญ" ออกนำจากประตูของ เชน ลอง ที่ใช้เวลาเพียง 7.69 วินาที สถิติยิงเร็วสุดพรีเมียร์ลีกคนใหม่ เก็บเพิ่มเป็น 37 แต้มรั้งอันดับ 16 อยู่เหนือโซนแดง 6 คะแนน ในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คืนวันอังคารที่ผ่านมา
สนาม : วิคาเรจ โร้ด

    ฆาบี้ กราเซีย กุนซือ แตนอาละวาด คู่ชิง เอฟเอ คัพ กับ แมนฯซิตี้ พาทีมเข้าวินในลีกนัดล่าสุดด้วยการบุกชนะ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ รั้งอันดับ 8 ของตาราง

    ด้าน ราล์ฟ ฮาเซ่นฮึทเทิ่ล กุนซือทีม ''นักบุญ'' อันดับ 16 พาทีมไปแพ้ นิวคาสเซิ่ล 1-3 ในนัดล่าสุด พวกเขาอยู่เหนือ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ในโซนตกชั้นอยู่ 5 แต้ม โดยประตูได้เสียดีกว่าและยังแข่งน้อยกว่า 1 เกมด้วย

    เริ่มเกมได้ 7.69 วินาที "นักบุญแดนใต้" ออกนำอย่างรวดเร็วจากจังหวะเขี่ยบอลของเจ้าถิ่นและเป็น เคร็ก แคธคาร์ต พยายามวางบอลยาวไปติดบล็อค เชน ลอง ก่อนหัวหอกชาว ไอร์แลนด์ หลุดเข้าไปยกข้าม เบน ฟอสเตอร์ สุดเหนือชั้น วัตฟอร์ด 0 เซาธ์แฮมป์ตัน 1

    2 นาทีต่อมา "แตนอาละวาด" ตอบโต้บ้างจากการแทงบอลของ เคราร์ เดโลเฟว ออกทางขวาให้ วิลล์ ฮิวจ์ส หลุดขึ้นมาครอสให้ อังเดร เกรย์ ได้จังหวะเข้าชาร์จจ่อๆ แต่ยังไม่ดีพอผ่านมือ แอนกุส กันน์ ที่โชว์ ซุปเปอร์เซฟ

    ผ่านมา 15 นาทีเกมเปิดแลกกันสนุกโดย ทีมเยือน มีโอกาสอีกครั้งจากลูกเปิดทางฝั่งขวาของ เจมส์ วอร์ด-พราวส์ บอลโค้งไปเสาสองให้ เชน ลอง ที่จุดนัดพบแต่จังหวะยิงทำได้ไม่ดีหลุดออกไปอย่างน่าเสียดาย

    ก่อนหมดครึ่งแรก 20 นาที "นักบุญแดนใต้" กดดันต่อเนื่องคราวนี้เป็น เนธาน เร้ดม่อนด์ พาบอลลากหลบผู้หลบ วัตฟอร์ด 3 คนเข้าเขตโทษ และเป็น เคร็ก แคธคาร์ต อีกแล้วที่เสียสมาธิแต่จังหวะยิงยังดีที่ เบน ฟอสเตอร์ ลอยตัวปัดทิ้งออกไปได้

    นาทีที่ 38 ทีมเยือนพลาดโอกาสทองจากจังหวะ เชน ลอง เปิดบอลผ่านหน้าแนวรับ "แตนอาละวาด" ที่พลาดเยอะมากในเกมนี้และเป็น เนธาน เร้ดม่อนด์ ตามไปซัดหักข้อด้วยซ้าย แต่บอลชนเสาเด้งออกหลังไป

    ท้ายเกมครึ่งแรกมีโอกาสลุ้นประตูทั้งคู่ โดยทีมเยือนมีจังหวะซัดชนเสาของ ไรอัน เบอร์ทรานด์ ส่วนเจ้าถิ่นตอบโต้ด้วยลูกยิงถากเสาของ เคราร์ เดโลเฟว แต่ยังไม่มีสกอร์เพิ่มหมดครึ่งแรก วัตฟอร์ด 0 เซาธ์แฮมป์ตัน 1

    ครึ่งหลังนาทีที่ 50 "แตนอาละวาด" เกือบได้ประตูตีเสมอจากจังหวะเก็บตกทางฝั่งขวาของ กิโก้ เฟเมเนีย ก่อนตักเข้ากลางให้ อับดูลาย ดูกูเร่ สอดมาโขกแต่บอลเบาไปเข้ามือ แอนกุส กันน์ รับไว้ได้

    70 นาทีผ่านไปรูปเกมสูสีมีจังหวะเล่นหนักให้เห็นอยู่ตลอด แต่ยังเป็น ทีมเยือน ที่ดูมุ่งมั่นตั้งใจมากกว่า ส่วน เจ้าถิ่น เหมือนสมาธิจะไปอยู่ที่เกม เอฟเอ คัพ นัดชิง กับ แมนฯซิตี้ แล้ว

    ก่อนหมดเวลา 12 นาที "นักบุญแดนใต้" มาได้ลูกฟรีคิกอันตรายทางกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายและเป็น เจมส์ วอร์ด-พราวส์ รับหน้าที่สังหาร บอลเกือบเสียบเสาแรกแต่ต้องชม เบน ฟอสเตอร์ ล้มตัวปัดออกไปได้อีกครั้ง

    ท้ายเกม เจ้าถิ่น โหมอย่างหนักจนมาได้ประตูตีเสมอในนาทีที่ 89  เป็นจังหวะครอสบอลของ กิโก้ เฟเมเนีย บอลไปตกใส่ขาผู้เล่น วัตฟอร์ด ก่อนหลุดมาถึง อังเดร เกรย์ ซัดเต็มข้อเสียบเสาแรกตุงตาข่าย

    จบเกม วัตฟอร์ด 1 เซาธ์แฮมป์ตัน 1 เจ้าถิ่นขยับขึ้นรั้งอับดับ 7 ส่วนทีมเยือนของ ราล์ฟ ฮาเซ่นฮึทเทิ่ล พลาด 3 แต้มสำคัญ รั้งอันดับ 16 อยู่เหนือโซนตกชั้น 6 คะแนน
   
รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

    วัตฟอร์ด (4-2-2-2) : เบน ฟอสเตอร์ - ดาริล ยานมัต, คริสเตียน คาบาเซเล่, เคร็ก แคธคาร์ต, อดัม มาซีน่า - อับดูลาย ดูกูเร่, เอเตียน กาปู - วิลล์ ฮิวจ์ส, โรแบร์โต้ เปเรย์ร่า - เคราร์ เดโลเฟว, อังเดร เกรย์

    ผู้จัดการทีม : ฆาบี้ กราเซีย

    เซาธ์แฮมป์ตัน (3-4-2-1) : แอนกุส กันน์ - แยน เบ็ดนาเร็ค, แจ็ค สตีเฟ่นส์, มายะ โยชิดะ - เจมส์ วอร์ด-พราวส์, โอเรโอล โรเมว, ปิแอร์-เอมิล ฮอยจ์เบิร์ก,ไรอัน เบอร์ทรานด์ - เนธาน เร้ดม่อนด์, สจ๊วร์ต อาร์มสตรอง - เชน ลอง

    ผู้จัดการทีม : ราล์ฟ ฮาเซ่นฮึทเทิ่ล

ผู้ตัดสิน : ไมค์ ดีน

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2562

ไก่-ปืน-ผียิ้ม! เชลซีขึ้นที่3ไม่สำเร็จ เบิร์นลี่ย์แสบบุกยันเจ๊า สิงห์เซ็งเซ่นแข้งดังเจ็บ

ไก่-ปืน-ผียิ้ม สเปอร์ส, อาร์เซน่อล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างยิ้มกันถ้วนหน้าหลัง "สิงห์บลูส์" คว้าชัยไม่สำเร็จเมื่อทำได้แค่เสมอกับ เบิร์นลี่ย์ 2-2

ไก่-ปืน-ผียิ้ม ในเกมพรีเมียร์ลีก เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยทั้งสี่ประตูเกิดขึ้นในช่วง 24 นาทีแรกก่อนที่ครึ่งหลังจะทำอะไรกันไม่ได้ แบ่งแต้มกันไปอย่างสนุกทำให้ เชลซี ที่แข่งมากกว่าใครหนึ่งเกมแซง "ปืนใหญ่" แค่หนึ่งแต้มขึ้นที่ 4 แถมเกมนี้ต้องเซ่นแข้งหลักหลังทั้ง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย และเอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่เบิร์นลี่ย์ได้แต้มสำคัญโอกาสรอดตกชั้นมีสูง
สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์, ลอนดอน

    เริ่มเกมมาได้ไม่ถึงสองนาที เชลซี ได้ลุ้นขึ้นนำก่อนเลย จากจังหวะที่ เอแด็น อาซาร์ หวดด้วยขวาเต็มแรงเสาแรกบอลยังไม่ผ่านเซฟของ ทอม ฮีตัน แม้จะซ้ำของ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ก็ซัดหวืดก่อนจะโดนแนวรับทีมเยือนเคลียร์ออกหลังไป

    นาที 6 เชลซีพลาดโอกาสได้ประตูนำอีก จากจังหวะเล่นกันของ อาซาร์ ที่ชิพบอลข้ามแนวรับให้ กอนซาโล่ อิกวาอิน หลุดเข้าไปยกบอลข้ามหัว ทอม ฮีตัน บอลจะข้ามเส้นประตูอยู่แล้วแต่ เบน มี ยังสกัดบนเส้นออกไปหวุดหวิด


    กลายเป็น เบิร์นลี่ย์ ที่ทำเอาแฟนบอลสิงห์บลุส์เงียบกันกริบทั้งสนาม หลังนาที 8 พังประตูบุกมาชิงนำไปก่อน 1-0 จากจังหวะที่แข้งเจ้าถิ่นเคลียร์บอลจากลูกคอนเนอร์ไม่ขาดบอลหล่นมาเข้าทาง เจฟฟ์ เฮนดริค หวดนอกกรอบด้วยขวาบอลพุ่งติดไซด์ก้อยหนีมือ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า เข้าไปอย่างสวยงาม

    ทว่าอีก 4 นาทีต่อมาในนาที 12 เชลซี มาทวงตีเสมอ 1-1 ทันควัน รูเบน ลอฟตัส-ชีค ใช้ความแข็งแกร่งพาบอลขึ้นมาก่อนไหลออกทางซ้ายให้ อาซาร์ ใช้ความสามารถเฉพาะตัวเลี้ยงจี้แนวรับ โยกหลอกล็อกขวาล็อกซ้ายแล้วจ่ายเลียดเข้ากลางประตูให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ วิ่งมาซัดด้วยซ้ายส่งบอลกระแทกตาข่ายแบบเด็ดขาด

    แข้งเจ้าถิ่นโหมรุกอย่างเมามัน อีกสองนาทีต่อมา มาพังประตูแซงขึ้นนำ 2-1 อย่างรวดเร็ว จอร์จินโญ่ แทงบอลเข้ากลางให้ กอนซาโล่ อิกวาอิน ทำชิ่งกับ เซร์ซาร์ อัซปิลิกวยต้า ก่อนแบ็กขวาชาวกระทิงดุจากไขว้บอลให้ อิกวาอิน หลุดเข้าไปซัดมุมแคบเช็ดใต้คานเต็มแรงเข้าไปอย่างเหนือชั้น และเป็นประตูที่ 4 เท่ากับเอ็นโกโล่ ก็องเต้ ในซีซั่นนี้


    นาที 20 เป็นโอกาสของ รูเบน ลอฟตัส-ชีค บ้างรับบอลจาก ก็องเต้ ก่อนปั่นด้วยขวากว่า 20 หลาบอลพุ่งโค้งไปเสาสองจะเสียบสามเหลี่ยมอยุ่แล้วแต่หลุดกรอบไปนิดเดียว

    ทว่าให้หลังมาในนาที 24 เบิร์นลี่ย์ที่ใช้โอกาสไม่เปลืองมาไล่ตีเสมอ 2-2 ได้สำเร็จ บอลฟรีคิกกลางสนาม แอชลี่ย์ เวสต์วู้ด วางยาวเข้ามาให้ เบน มี เซ็นเตอร์แบ็กโขกต่อเข้ากลางถึง คริส วู้ด เช็ดบอลต่อไปเสาสองให้ แอชลี่ย์ บาร์นส์ ที่ยืนโล่งๆ แปบอลแสกหน้า เกปา เข้าไปเต็มแรง
   
    นาที 40 เมาริซิโอ ซาร์รี่ ต้องเปลี่ยนตัวคนแรกหลัง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ปีกตัวเก่งได้รับอาการบาดเจ็บทำให้ต้องส่ง เปโดร โรดริเกซ ลงเล่นแทน

    จบครึ่งแรก เชลซี เสมอกับ เบิร์นลี่ย์ 2-2

    กลับมาบู๊กันต่อในครึ่งหลัง เจ้าถิ่นมีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นอีกคน โดยส่ง มัตเตโอ โควาซิช ลงไปเล่นแทน  เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ซึ่งมีรายงานว่ามีอาการเจ็บ

    นาที 51 บอลจากอาซาร์ถ่ายออกขวาให้ เปโดร เลี้ยงจี้เข้าหาแนวรับทีมเยือนก่อนจ่ายเข้ากลางให้ อิกวาอิน วิ่งมาซัดเลียดด้วยขวาแต่บอลยังไม่ห่างตัว ทอม ฮีตัน ล้มตะครุบบอลไว้ได้

     นาที 67 ทัพสิงห์บลูส์ได้ลุ้นประตูขึ้นนำอีกครั้ง เอเมอร์สัน เปิดเลียดเข้ากลางให้ อิกวาอิน ข้ามบอลหลอกจนเลยไปถึง เซร์ซาร์ อัซปิลิกวยต้า ได้อัดด้วยขวามุมแคบแต่ยังไปติดเซฟของ ทอม ฮีตัน แม้จังหวะต่อมา อัซปิลิกวยต้า จะตักเข้ากลางแล้วโดนสกัดมาเข้าเท้า ลอฟตัส-ชีค แต่ห้องเครื่องสิงโตคำรามดันวอลเลย์เหินคานลอยโด่งออกหลังไป

     นาที 76 สิงห์บลูส์ เปลี่ยนตัวคนสุดท้าย ส่ง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ลงมาเล่นแทนกอนซาโล่ อิกวาอิน

      ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มเติมจบเกม เชลซี ทำได้แค่เสมอกับ เบิร์นลี่ย์ 2-2 แบ่งแต้มกันไปทำให้ "สิงห์บลูส์" ชวดโอกาสขึ้นไปรั้งอันดับ 3 หลังได้แค่หนึ่งคะแนนแซง อาร์เซน่อล ขึ้นอันดับ 4 แม้แต้มจะเท่ากับสเปอร์ที่ 67 คะแนนแต่ลูกได้เสียเป็นรอง ส่วน เบิร์นลี่ย์ มีเพิ่มเป็น 40 คะแนน รั้งอันดับ 15 มีแต้มมากกว่าคาร์ดิฟฟ์โซนตกชั้น 9 คะแนน โอกาสรอดตายมีสูง
   
    รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

        เชลซี (4-3-3) : เกปา อาร์รีซาบาลาก้า - เซร์ซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันเดรียส คริสเตนเซ่น, ดาวิด ลุยซ์, เอเมอร์สัน - เอ็นโกโล่ ก็องเต้ (มัตเตโอ โควาซิช น.46), จอร์จินโญ่, รูเบน ลอฟตัส-ชีค - คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย (เปโดร น.41), กอนซาโล่ อิกวาอิน (โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ น.76), เอแด็น อาซาร์

        ผู้จัดการทีม : เมาริซิโอ ซาร์รี่

        เบิร์นลี่ย์ (4-4-2) : ทอม ฮีตัน - แม็ทธิว ลอว์ตัน, เจมส์ ทาร์คอฟสกี้, เบน มี, ชาร์ลี เทย์เลอร์ - เจฟฟ์ เฮนดริค, แอชลี่ย์ เวสต์วู้ด, แจ็ค คอร์ก, ดไวท์ แม็คนีล - แอชลี่ย์ บาร์นส์, คริส วู้ด

        ผู้จัดการทีม : ฌอน ไดช์

        ผู้ตัดสิน : เควิน เฟรนด์

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2562

ปฏิวัติแนวคิด ! คล็อปป์ สร้างเกมรับแกร่ง-ดุดัน ลุ้นความสำเร็จฤดูกาลนี้

ปฏิวัติแนวคิด ! ลิเวอร์พูล ก้าวขึ้นมามีลุ้นความสำเร็จทั้ง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก


ปฏิวัติแนวคิด !  โดยผลงานที่ยอดเยี่ยมแบบนี้มาจากการปรับเปลี่ยนแนวคิคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมที่สร้าง "หงส์แดง" ขึ้นมาจากรากฐานด้วยการสร้างแบ็กโฟร์ที่สุดแข็งแกร่งที่สามารถเล่นเกมรับได้ดีเยี่ยม และเติมเกมรุกได้ดุดัน
    เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา "เดอะ เร้ดส์" เป็นทีมเอนเตอร์เทนจาก 3 แนวรุก หิน เหล็ก ไห (เอสเอ็มเอฟ) ได้แก่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ พวกเขาช่วยกันยิงประตูเป็นว่าเล่นให้กับทัพ "เดอะ เร้ดส์" แต่บทสรุปสุดท้ายกับต้องผิดหวังในเกมนัดชิงถ้วยใบโตยุโรป พร้อมกับผลงานในอังกฤษ ที่ไม่มีถ้วยอะไรมาประดับโชว์ในถิ่นแอนฟิลด์ ยกเว้นคำชื่นชมว่าเป็นทีมที่เล่นเกมรุกสนุกเร้าใจเท่านั้น


    สำหรับในฤดูกาลนี้ คล็อปป์ เล็งเห็นแล้วว่าเกมรุกของพวกเขาดีเยี่ยมอยู่แล้ว แต่เกมรับต้องมีความสมดุลมากกว่านี้ โดย เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ซึ่งย้ายมาเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ด้วยค่าตัวแพงที่สุดในโลกจำนวน 75 ล้านปอนด์ (ราว 3,075 ล้านบาท) เมื่อเดือนม.ค.ปีที่ผ่านมา ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าจริงๆ เมื่อเขาเล่นเกมรับได้เหนียวแน่น แถมยังเติมไปช่วยทำประตูให้กับทีมได้หลายต่อหลายครั้ง

     การเสียแค่ 20 ประตูในลีกฤดูกาลนี้ แสดงให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล เดินมาถูกทางและสร้างสถิติการเล่นเกมรับที่ดีเยี่ยม ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แม้ว่าจะยิงได้เยอะกว่าแต่พวกเขาเสียไป 22 ประตูแถมยังมีคิวต้องพบกับ สเปอร์ส และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด งานนี้มีความเป็นไปได้ว่า "เรือใบสีฟ้า" อาจจะพลาดเสียประตูอีกก็ได้


     สำหรับ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งพวกเขาได้แชมป์ลีกเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากผู้เล่นกองหลังที่ดันขึ้นสูงเติมเกมบุกในพื้นที่สุดท้าย โดยในเวลานี้แนวรับของ ลิเวอร์พูล ก็ทำแบบเดียวกัน และนั่นถือเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มากๆ สำหรับการเข้าทำที่หลากหลาย

     ผลงานระหว่าง ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ช่วยเหลือทีมได้อย่างสุดน่าเหลือเชื่อเพราะทั้งสามคนทำแอสซิสต์รวมกันถึง 24 ครั้งในฤดูกาล

    ในตำแหน่งแบ็กซ้ายปัจจุบัน กัปตันทีมชาติสกอตแลนด์ มีส่วนกับเกมของ "หงส์แดง" เยอะมาก และทำสถิติเทียบเท่ากับ โม ซาลาห์ เมื่อจัดการแอสซิสต์ให้กับเพื่อนร่วมทีมได้ถึง 11 ครั้ง ขณะที่ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ สถิติใกล้เคียงกันเมื่อทำได้ 9 แอสซิสต์


    ขณะที่ ฟาน ไดค์ นอกจากจะเป็นหัวใจในเกมรับของทีมแล้ว ยังมักจะขึ้นไปช่วยทำประตูให้กับต้นสังกัดได้บ่อยๆ โดยตอนนี้เขาซัดประตูคู่แข่งไปแล้ว 5 ลูกในฤดูกาลนี้ ขณะเดียวกันยังมีส่วนแอสซิสต์ถึง 4 ครั้ง โดยดาวเตะเลือดดัตช์ มีทักษะในการผ่านบอลที่เฉียบคม, เข้าสกัดได้แม่นยำ และอ่านเกมขาด

    ส่วนในเรื่องของการแอสซิสต์นั้นหลายๆ คนคงจำได้ติดตามจากจังหวะที่เจ้าตัวเปิดบอลยาวกว่า 70 หลาให้ มาเน่ หลุดเข้าไปยิงประตูในเกมชนะ บาเยิร์น มิวนิค ที่สนามอัลลิอันซ์ อารีน่า เกมถ้วย "บิ๊กเอียร์" ยังไม่แค่นั้น ฟาน ไดค์ เสียบอลเพียงแค่ 49 ครั้งจาก 201 ครั้งในการดวลลูกกลางอากาศ และเสียบอล 64 ครั้งในการดวลตัวต่อตัวจากทั้งหมด 271 ครั้ง

    ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะการที่ทีมมีกองหลังแข็งแกร่งแล้ว คล็อปป์ ตระหนักดีว่าทีมต้องมีผู้รักษาประตูชั้นยอดด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาสะกิดบอร์ดบริหารให้ทุ่มเงินจำนวนมหาศาลในการกระชาก อลีสซง เบ็คเกอร์ นายทวารทีมชาติบราซิล มาร่วมทัพ

    โกล์เลือดแซมบ้ามีส่วนสำคัญมากๆ กับการช่วยให้ทีมเป็นสโมสรที่เสียประตูน้อยที่สุดในลีกเวลานี้ แถมยังสร้างสถิติเก็บคลีนชีตได้เท่ากับ ดาบิด เด เคอา นายทวารชาวสแปนิช ที่ทำเอาไว้เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งนั่นทำให้เขาได้รับรางวัล "ถุงมือทองคำ"ด้วย


    จนถึงเวลานี้ อลีสซง เก็บไปแล้ว 18 คลีนชีตซึ่งถือเป็นสถิติตสูงสุดเท่ากับ เด เคอา และ โจ ฮาร์ท โดยในอีก 4 เกมที่เหลืออยู่ หากเจ้าตัวสามารถเก็บคลีนชีตเพิ่มเป็น 20 เกม จะทำให้เขาแซงหน้า เปเป้ เรน่า อดีตนายด่าน "หงส์แดง" ที่ทำเอาไว้เมื่อปี 2006 (19 คลีนชีต)

    สำหรับตอนนี้ อลีสซง รั้งอันดับ 2 ตลอดกาลในพรีเมียร์ลีกสำหรับการเก็บคลีนชีต เป็นรอง ปีเตอร์ เช็ค ซึ่งเก็บคลีนชิตได้ถึง 24 เกมจากฤดูกาล 2004-05 นอกจากนี้ โกล์วัย 26 ปี ยังสร้างสิ่งแปลกใหม่ให้กับ "หงส์แดง" เมื่อมีส่วนในการผ่านบอล และสร้างโอกาสรวมทั้งป้องกันลูกยิงในจังหวะสำคัญ โดย "ธอร์แห่งวงการลูกหนัง" ผ่านบอลถึง 977 ครั้ง  เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ราวๆ 30 ครั้งต่อเกม

     อย่างไรก็ตามในเวลานี้ โชคชะตาทุกอย่างอยู่ในมือของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะหากพวกเขาคว้าชัยชนะได้หมดในเกมที่เหลืออยู่ "เรือใบสีฟ้า" ก็จะแล่นฉิวเข้าวินคว้าแชมป์ แต่หากโชคชะตามอบแชมป์ให้ ลิเวอร์พูล งานนี้ คล็อปป์ คงได้รับคำชื่นชมทั่วทุกสารทิศจากการปฎิวัติแนวรับของ "เดอะ เร้ดส์"


    3 ประสานแนวรับกับสถิติสุดเหลือเชื่อ
เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ : 5 ประตู กับ 4 แอสซิสต์
เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ : 1 ประตู กับ 9 แอสซิสต์
แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน : 0 ประตู กับ 11 แอสซิสต์

เส้นทางสู่ถุงมือทองคำ
อลีสซง เบ็คเกอร์ : 18 คลีนชีต
เอแดร์สัน : 16 คลีนชีต
เกปา อาร์รีซาบาลาก้า : 13 คลีนชีต
อูโก้ โยริส : 11 คลีนชีต
จอร์แดน พิคฟอร์ด : 11 คลีนชีต

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2562

สิงห์มีเสียว! 'เปโดร' เบิ้ลพาเชลซีย้ำแค้นสลาเวียปรากทะลุตัดเชือกยูโรปา

สิงห์มีเสียว แม้ครึ่งหลัง เชลซี จะมีแผ่วปลายเสียถึงสองประตู แต่ครึ่งแรก สิงห์บลูส์ ตุนสกอร์ ไว้จากการยิงเบิ้ลของ เปโดร โรดริเกซ

สิงห์มีเสียว ทำอีกหนึ่งแอสซิสต์ ช่วยให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จในศึก ฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรปา ลีก (รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดสอง) เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา
ฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรปา ลีก
(รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดสอง)
วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน 2562
เชลซี (อังกฤษ) 4   -   3 สลาเวีย ปราก (เช็ก)
(เชลซี ผ่านเข้ารอบด้วยประตูรวม 5-3)

สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์
   
    เริ่มเกมมาได้เพียง 5 นาทีเท่านั้น เชลซีขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะต่อบอลสุดสวยขึ้นเกมมาทางฝั่งขวา เปโดร โรดริเกซ ส่งบอลให้ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ตอกส้นกลับมาให้ เปโดร อีกครั้งก่อนเจ้าตัวจะจ่ายไปที่ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ที่ยืนรอหน้ากรอบเขตโทษ และเป็น เปโดร ที่ทำชิ่งกับ ชิรูด์ อีกครั้งจนเจ้าตัวหลุดเข้าไปยิงสวนตัว ออนเดรจ์ โคลาร์ นายด่าน สลาเวีย ปราก แข้งทีมเยือนพยายามเตะเคลียร์บอลแต่ไม่พ้นเข้าประตูไป


    ดูเหมือนว่า สลาเวีย ปราก ยังตั้งตัวไม่ได้สี่นาทีถัดมาโดนเชลซีนำห่าง 2-0  โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ แทงบอลให้ เอแด็น อาซาร์ หลุดไปเส้นหลังฝั่งซ้ายก่อนจ่ายย้อนมาถึง เปโดร แปบอลไปโดนเสาอย่างจังแต่เทพีแห่งโชคกลับเข้าข้างบอลกระดอนไปโดนตัว ซิมง เดลี่ กองหลังทีมเยือนเข้าไปเป็นการทำเข้าประตูตัวเอง

    นาทีที่ 16 ปราก ได้โต้กลับขึ้นมาบ้างและเป็น จาโรเมียร์ ซมาร์ฮาล์ ได้โอกาสกดด้วยขวาแต่นำหนักและทิศทางของบอลไม่ดีเลยออกเสาไกลไปไม่ได้ลุ้น


    นาทีถัดมากลับเป็นเชลซี นำห่าง 3-0 เปโดรหลุดขึ้นไปทางฝั่งขวาก่อนจ่ายบอลย้อนมาให้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ที่จุดนัดพบวิ่งมาแปบอลด้วยเท่าขวาเข้าไปอย่างง่ายดาย

    นาทีที่ 25 ปราก ตีตื้นขึ้นมาเป็น 1-3 จากลูกเตะมุมที่โยนมาเข้าหัว โทมัส ซูเช็ค สะบัดโหม่งเต็มกระบาลเสียบมุมทำเอา เกปา อาร์รีซาบาลาก้า นายด่านเจ้าถิ่นได้แต่ยืนมองด้วยสายตา

    สองนาทีถัดมานาทีที่ 27 เชลซีนำห่างอีกครั้ง 4-1 จากจังหวะที่ เอแด็น อาซาร์ จ่ายบอลให้ เอเมอร์สัน ขึ้นมาเปิดบอลสุดริมเส้นฝั่งซ้ายเลยไปถึง  โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ตะวัดยิงไปติดตัว ออนเดรจ์ โคลาร์ ผู้รักษาประตูปรากแต่บอลกระดอนไปเข้าทาง เปโดร ที่เอี้ยวตัวยิงด้วยเท้าซ้ายเข้าไป นับเป็นประตูที่สองของเจ้าตัวในเกมนี้อีกด้วย


    ดูเหมือนว่า เชลซี จะผ่อนเกมลงและพอใจกับสกอร์นี้ทั้งสองทีมไม่สามารถทำประตูเพิ่มได้จบครึ่งแรก เชลซี เปิดบ้านนำห่าง สลาเวีย ปราก ถึง 4-1 และเมื่อรวมผลสองนัด ณ เวลานี้ เชลซี นำขาด 5-1

   มาลุ้นกันต่อในครึ่งเวลาหลังมาได้ 2 นาที ปราก ได้ลูกเตะมุมเป็น โทมัส ซูเช็ค ได้ขึ้นโหม่งแต่บอลทิศทางไม่ดีข้ามคานออกไป


    นาทีที่ 51 ปราก ไล่ขึ้นมาเป็น 2-4 จาก เพทร์ อีวิค ที่ตะบันไกลหน้ากรอบเกือบ 23 หลาบอลพุ่งมุดเสียบโคนเสาเข้าไป

    นาทีที่ 54 สลาเวีย ปราก ดูเหมือนจะได้จะไล่มาเป็น 3-4 จากลูกยิงสุดสวยของ เพทร์ อีวิค ที่กดเต็มข้อระยะประมาณ 20 หลามุมกรอบเขตโทษฝั่งขวาบอลพุ่งดุจจรวดเสียบคานบนเข้าไปหมดปัญญาที่ เกปา นายด่านเจ้าถิ่นจะบินป้องกันได้

    ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมต่างเปิดเกมบุกเข้าใส่กันอย่างสนุกและมีลุ้นบวกสกอร์หลายครั้งแต่ไม่มีทีมใดทำประตูเพิ่มได้จบเกม เชลซี เปิดบ้านชนะ สลาเวีย ปราก 4-3


    เมื่อรวมผลการแข่งขันทั้งสองนัดเป็น เชลซี ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ หรือ รอบ 4 ทีมสุดท้ายต่อไปด้วยผลสกอร์ 5-3

รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
    เชลซี (4-3-3) : เกปา อาร์รีซาบาลาก้า - เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, ดาวิด ลุยซ์, อันเดรียส คริสเตนเซ่น, เอเมอร์สัน - เอ็นโกโล่ ก็องเต้, มาเตโอ โควาซิช, รอสส์ บาร์คลี่ย์ (จอร์จินโญ่ น.70) - เปโดร โรดริเกซ (คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย น.87), โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์, เอแด็น อาซาร์ (วิลเลี่ยน น.65)
    เทรนเนอร์ : เมาริซิโอ ซาร์รี่

    สลาเวีย ปราก (4-2-3-1) : ออนเดรจ์ โคลาร์ - ออนเดรจ์ คูเดลา, มิชาแอล เอ็นกาเดอ-เอ็นกัดฌุย, ซิมง เดลี่, ยาน โบริล - โทมัส ซูเช็ค, อเล็กซ์ คราล - อิบราฮิม ตราโอเร่, เพทร์ อีวิค (มิโลเซฟ สต๊อท น.78), จาโรเมียร์ ซมาร์ฮาล์ (มิลาน สโคดา น.85) - ลูคัส มาโซปุสต์ (เปเตอร์ โอลายินก้า น.52)
    เทรนเนอร์ : ยินดริช เทอร์ปิซอฟสกี้

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2562

ทีมนักปั้น! 5 ดาวรุ่งน่าจับตามองของ อาแจ็กซ์

ทีมนักปั้น นับตั้งแต่ที่กลุ่มทุนจากกาตาร์เข้ามาเทคโอเวอร์ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง


ทีมนักปั้น เมื่อปี 2011 พวกเขาก็ทุ่มเงินไปมากมายก่ายกองเพื่อซื้อนักเตะชื่อดังมาร่วมทีมหลายคน อย่างเช่น ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, อังเคล ดิ มาเรีย, เนย์มาร์ และ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ แต่จนถึงตอนนี้ "เปแอสเช" ก็ยังไม่เคยไปถึงรอบรองชนะเลิศของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เลย ผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขารายการดังกล่าวคือการไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งแน่นอนว่านั่นน่าผิดหวังเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่พวกเขาใช้ไป
    ในทางกลับกัน อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม สามารถไปถึงรอบตัดเชือกของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ก่อน ปารีสฯ แล้ว ทั้งที่พวกเขาไม่ได้มีเงินมากมายเหมือน "เปแอสเช" และไม่ได้มีแข้งชื่อดังมากเหมือนกับทีมจากเมืองหลวงของฝรั่งเศส หลังจากที่ล่าสุดพวกเขาชนะ ยูเวนตุส ด้วยสกอร์รวม 3-2 ในรอบก่อนรองชนะเลิศของฤดูกาล 2018-19

    นี่นับเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมมากกว่าเดิมของ อาแจ็กซ์ เพราะในรอบ 16 ทีมสุดท้ายพวกเขาก็ผ่าน เรอัล มาดริด มาได้ และนั่นก็ทำให้ อาแจ็กซ์ ได้รับคำชมจากหลายคนในวงการลูกหนัง ที่สามารถทำให้ทีมมาถึงรอบตัดเชือกของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ โดยที่ใช้บรรดาแข้งดาวรุ่งเป็นหลัก ซึ่งหลายคนก็มาจากอะคาเดมี่ของเขาตั้งแต่แรกเลยด้วย

    นี่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าการที่จะประสบความสำเร็จในวงการลูกหนังได้ มันไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายเพียงอย่างเดียวเสมอไป และวันนี้เราก็จะมาดู 5 ดาวรุ่งในชุดนี้ของ อาแจ็กซ์ ที่มีโอกาสกลายเป็นยอดแข้งในอนาคตกัน

    - เฟรงกี้ เดอ ยอง
 เดิมที เดอ ยอง เป็นผลผลิตจากอะคาเดมี่ของ วิลเล่ม ทเว แต่ อาแจ็กซ์ เห็นแววรุ่งในตัวกองกลางรายนี้จนดึงเขามาร่วมทีมเมื่อช่วงซัมเมอร์ ปี 2015 โดยพวกเขาให้แข้งวัย 21 ปีฝึกฝีเท้ากับทีมสำรอง 1 ฤดูกาล ก่อนที่จะดันเจ้าตัวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในฤดูกาล 2016-17



    ทั้งนี้ ดาวเตะชาวดัตช์ทำผลงานได้โดดเด่นอย่างมากจนยึดตำแหน่งตัวจริงของ อาแจ็กซ์ เอาไว้ได้ และผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขาก็ทำให้เจ้าตัวถูกจับตามองจากหลายทีมยักษ์ใหญ่ของทวีปยุโรป ซึ่งในซีซั่นหน้าแฟนบอลทั่วโลกก็จะได้เห็นเขาผ่านทางจอทีวีบ่อยขึ้น และได้เห็นเขาลงเล่นเกมระดับสูงมากกว่าเดิม เพราะเจ้าตัวย้ายไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า ล่วงหน้า ด้วยค่าตัวที่เชื่อกันว่าอยู่ที่ 75 ล้านยูโร (ประมาณ 2,700 ล้านบาท) ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมาแล้ว เพียงแต่ "อาซูลกราน่า" ปล่อยให้เขาอยู่กับ อาแจ็กซ์ ต่อไปก่อนจนกระทั่งจบฤดูกาลนี้

    - มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์
 นี่คือนักเตะที่ว่ากันว่าเป็นคนที่มีอนาคตไกลที่สุดของ อาแจ็กซ์ ชุดนี้ เดอ ลิกต์ เป็นลูกหม้อของ อาแจ็กซ์ โดยตรง และเซนเตอร์แบ็กรายนี้ก็ขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในฤดูกาล 2016-17 ซึ่งเจ้าตัวก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมจนกลายเป็นตัวหลักของทีม



    ทั้งนี้ ในช่วงท้ายซีซั่น 2017-18 เดอ ลิกต์ ถึงขั้นถูกแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมของ อาแจ็กซ์ เลยทีเดียว และความเป็นผู้นำของเขาก็ยังยอดเยี่ยมจนทำให้ยังได้สวมปลอกแขนอย่างต่อเนื่องมาจนถึงฤดูกาลนี้ แม้ว่าเจ้าตัวจะเพิ่งมีอายุแค่ 19 ปีก็ตาม

    ความยอดเยี่ยมของ เดอ ลิกต์ ทำให้มันไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะเป็นที่สนใจของหลายทีมยักษ์ใหญ่ทั่วทวีปยุโรป และมีโอกาสสูงที่ซีซั่นหน้าเราจะได้เห็นเขาในสีเสื้อของทีมอื่น

    - ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค
    หลังจากแสดงให้เห็นแววรุ่งตอนอยู่กับ วีนเช่ บอยส์ ทีมในละแวกบ้านเกิดของเขา ฟาน เดอ เบ็ค ก็ได้เข้าสู่อะคาเดมี่ของ อาแจ็กซ์ ในช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2014 พร้อมกับได้รับสัญญา 3 ปี และมิดฟิลด์ชาวดัตช์ก็ทำผลงานได้น่าประทับใจจนทำให้ อาแจ็กซ์ จับเขาต่อสัญญาในเดือนมกราคมของปี 2015


    ฟาน เดอ เบ็ค ได้ขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ อาแจ็กซ์ เป็นหนแรก เมื่อฤดูกาล 2015-16 และในซีซั่นนั้นเขาก็ทำประตูแรกกับทีมชุดใหญ่ได้ทันทีด้วย โดยเกิดขึ้นในเกม ยูฟ่า ยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอ ซึ่งเขาก็ยังพัฒนาฝีเท้าได้ดีจนเป็นกำลังสำคัญของทีมมาจนถึงทุกวันนี้

    - ดานี่ เดอ วิต
    อีกหนึ่งคนที่ไม่ได้ผ่านทีมไหนมาก่อน และอยู่กับ อาแจ็กซ์ มาตั้งแต่แรก มิดฟิลด์วัย 21 ปี ได้เล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ อาแจ็กซ์ เป็นครั้งแรกเมื่อฤดูกาลก่อน แต่ก็ได้ลงแค่นัดเดียวเท่านั้น แถมยังได้อยู่ในสนามเพียงแค่ 5 นาทีอีกต่างหาก


    อย่างไรก็ตาม เขาก็มีแววว่าจะกลายเป็นนักเตะชั้นยอดในอนาคตได้ จน อาแจ็กซ์ ให้เขาอยู่ในทีมชุดใหญ่ในฤดูกาลนี้ ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ลงเล่นในลีกไปแล้ว 3 นัด รวมถึงได้ลงสนามในเกมระดับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 หน

    - แคสเปอร์ ดอลเบิร์ก
    หลังจากทำผลงานได้โดดเด่นในฐานะนักเตะเยาวชนของ จีเอฟจี โฟเอล และ ซิลเคบอร์ก ไอเอฟ ทีมในเดนมาร์กนั้น ดอลเบิร์ก ก็ได้รับโอกาสครั้งใหญ่ในชีวิต นั่นคือการที่ อาแจ็กซ์ ประกาศดึงเขาไปร่วมทีมในช่วงเดือนมกราคม ปี 2015 พร้อมกับได้เซ็นสัญญากับทีมเป็นเวลา 3 ปี



    แมวมองที่เห็นแววรุ่งของกองหน้าดาวรุ่งชาวเดนมาร์กจนเสนอให้ อาแจ็กซ์ เซ็นสัญญากับเขา มีชื่อว่า จอห์น สตีน โอลเซ่น ซึ่งเขาคือคนเดียวกับที่ค้นพบนักเตะอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช และ คริสเตียน เอริคเซ่น แล้วให้พวกเขาไปอยู่กับ อาแจ็กซ์ มาแล้ว

    ดอลเบิร์ก ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก ก็ได้เล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ อาแจ็กซ์ ในฤดูกาล 2016-17 ซึ่งเขาก็ทำผลงานได้สุดยอด กดไป 23 ประตูจากการลงเล่น 47 นัดในทุกรายการ โดยถึงแม้ฤดูกาลก่อนจะฟอร์มตกลงไป จากการทำได้เพียง 9 ประตูจาก 30 นัดในทุกรายการ แต่ฤดูกาลนี้แข้งวัย 21 ปีก็กลับมาทำผลงานได้ดี ด้วยการทำไปแล้ว 12 ประตูจากการลงเล่นในทุกรายการ 34 นัด

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2562

อินทรีเร่งฟอร์ม! ลาซิโอจัด"อิมโมบิเล่"ซัดอูดิเนเซ่เฮลุ้นพื้นที่ยุโรป

อินทรีเร่งฟอร์ม ซิโมเน่ อินซากี้ เทรนเนอร์ ลาซิโอ เจอปัญหาหนักในการจัดทัพ แถม ผลงานยังไม่สู้ดี

อินทรีเร่งฟอร์ม ยังมีลุ้นทำอันดับถึงโควต้า ฟุตบอลยุโรป แดนหน้าจัด ชิโร่ อิมโมบิเล่ ล่าตาข่าย ทางด้าน อูดิเนเซ่ ของ อิกอร์ ทูดอร์ ฟอร์มไม่แน่นอนยังต้องลุ้นหนีตาย มี เควิน ลาซานย่า เป็นตัวความหวังในศึกฟุตบอลกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี คืนวันพุธที่ 17 เมษายน นี้
ปรีวิวฟุตบอลกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี
วันพุธที่ 17 เมษายน 2562
ลาซิโอ (8) - อูดิเนเซ่ (16)
เวลา : 00.00 น. ถ่ายทอดสด : บีอินส์ สปอร์ต 3
สนาม : โอลิมปิโก


    ซิโมเน่ อินซากี้ เทรนเนอร์ ลาซิโอ ประสบปัญหาที่ หลุยส์ อัลเบร์โต้ ถูกพักแข้ง อีกทั้ง โจอากิน กอร์เรอา ก็เจ็บมาจากเกมล่าสุด บวกกับพวกที่เดี้ยงอยู่แล้วอย่าง สเตฟาน ราดู, อดัม มารูซิช, วาลอน เบริสชา และ จอร์แดน ลูกากู แต่ได้ มิลาน บาเดลจ์ พ้นโทษแบน

    แผงหลังยังต้องใช้ชุดเดิมต่อไป ประกอบด้วย หลุยส์ เฟลิเป้, ฟรานเชสโก้ อแชร์บี้ และ บาสโตส

    แดนกลาง มาร์โก ปาโรโล่ ได้รับโอกาสให้ลงตัวจริงร่วมกับ ลูคัส เลว่า และ มิลินโควิช-ซาวิช วิงแบ็กยังใช้ โรมูโล่ กับ เซนาด ลูลิช กองหน้าต้องส่ง เฟลิเป้ ไซเซโด้ จับคู่ล่าตาข่ายกับ ชิโร่ อิมโมบิเล่

    ด้าน อิกอร์ ทูดอร์ กุนซือ อูดิเนเซ่ จะได้ มาร์วิน ซีเกลาร์ พ้นโทษพักแข้งกลับมา แต่ยังต้องปราศจาก นิโกลัส โอโปกู, วาลอน เบห์รามี่, แบรม นุยตินค์ และ อันโตนิน บารัค ที่เจ็บเหมือนเดิม

    การจัดทัพมี เซบาสติยอง เดอ มาโญ, วิลเลี่ยม โทรสต์-เอก็อง และ ซาเมียร์ คุมแนวรับ

    ขยับขึ้นมา โรลันโด้ มันดราโกร่า ประสานงานตรงกลางกับ เซโก้ โฟฟาน่า และ โรดริโก้ เด ปอล ปล่อยวิงแบ็กให้เป็นน้าที่ของ เยนส์ สตรายเกอร์ ลาร์เซ่น กับ ซีเกลาร์ คู่หน้ายังวางใจ เควิน ลาซานย่า กับ สเตฟาโน่ โอกาก้า

รายชื่อนักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม

    ลาซิโอ (3-5-2) : โธมัส สตราโคชา - หลุยส์ เฟลิเป้, ฟรานเชสโก้ อแชร์บี้, บาสโตส - โรมูโล่, มาร์โก ปาโรโล่, ลูคัส เลว่า, เซอร์เก มิลินโควิช-ซาวิช, เซนาด ลูลิช - เฟลิเป้ ไซเซโด้, ชิโร่ อิมโมบิเล่

    อูดิเนเซ่ (3-5-2) : ฮวน มุสโซ่ - เซบาสติยอง เดอ มาโญ, วิลเลี่ยม โทรสต์-เอก็อง, ซาเมียร์ - เยนส์ สตรายเกอร์ ลาร์เซ่น, เซโก้ โฟฟาน่า, โรลันโด้ มันดราโกร่า, โรดริโก้ เด ปอล, มาร์วิน ซีเกลาร์ - เควิน ลาซานย่า, สเตฟาโน่ โอกาก้า

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2562

อาร์เซน่อลเฮงบุกทุบวัตฟอร์ด10คนหวิว แซงแมนยู-เชลซีขึ้นที่4

อาร์เซน่อล  บุกไปเก็บสามแต้มเหนือเจ้าถิ่น วัตฟอร์ด ที่เหลือ 10 คนแบบหวุดหวิด 1-0 

อาร์เซน่อล  ชนิดมีโชคช่วยหลังจาก เบน ฟอสเตอร์ นายด่านของเจ้าถิ่นเปิดบอลมาติด ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง เข้าประตูไป ส่งผลให้ "ปืนใหญ่" คว้าสามแต้มแซง "ปีศาจแดง" และ "สิงห์บลูส์" ขึ้นไปรั้งอันดับ 4 มี 66 คะแนนเท่ากับเชลซีแต่ลูกได้เสียดีกว่า ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา
สนาม : วิคาเรจ โร้ด


    วัตฟอร์ด ทีมอันดับ 10 ของตาราง ได้พักยาวหลังทะยานเข้าชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ เกมนี้รับมือ อาร์เซน่อล อันดับ 6 ซึ่งเกมนี้หากทีมไหนคว้าสามแต้มได้อันดับจะเปลี่ยนแปลงทันที

    "แตนอาละวาด" ผลงานในบ้านไม่แพ้ใครมา 5 เกมติดในลีกแล้ว เกมนี้ยังวาง ทรอย ดีนี่ย์ กัปตันทีมเป็นทีเด็ดล่าตาข่าย

    ขณะที่ "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล ผลงานล่าสุดเปิดบ้านทุบ นาโปลี 2-0 กุมความได้เปรียบไปก่อนในศึกยูโรปา ลีก รอบ8ทีมนัดแรก เกมนี้สภาพทีมไร้ โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส ที่สะสมใบเหลืองครบติดโทษแบน แต่ได้ โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ กลับมาคุมเกมรับ ขณะที่แนวรุกจัด ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ล่าตาข่ายโดยมี อเล็กซ์ อิโวบี้ และอารอน แรมซี่ย์ สนับสนุน

    เปิดฉากครึ่งแรกมา เจ้าถิ่น วัตฟอร์ด โหมกดดันใส่ปืนใหญ่อย่างหนัก นาที 4 ได้ลุ้นจากเก็บตกจากลูกเตะมุม ทรอย ดีนี่ย์ เกี่ยวบอลได้ก่อนป้ายต่อให้ วิลล์ ฮิวจ์ส ตะวัดยิงด้วยซ้ายเร็วบอลหลุดกรอบออกไป

    แต่กลายเป็นแค่โอกาสแรกที่ อาร์เซน่อล ได้บุกโจมตีก็เป็นประตูทันที นาที 10 จากจังหวะที่ ดาริล ยานมัต ส่งคืนหลังให้ เบน ฟอสเตอร์ แต่นายทวารเจ้าถิ่นแตะบอลด้วยซ้ายก่อนเตะช้าไปโดน ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง วิ่งมาปั๊มบอลด้วยซ้ายเปลี่ยนทางเข้าประตูตัวเองไป ไอ้ปืนใหญ่ บุกนำก่อน 1-0

    เท่านั้นไม่พอ แค่นาทีเดียวถัดมา สถานการณ์ของเจ้าถิ่นแย่ลงไปอีก เมื่อ ทรอย ดีนี่ย์ ถูกผู้ตัดสินชูใบแดงไล่ออกจากสนาม หลังได้รับรายงานจากผู้ช่วยว่า ดีนี่ย์ ไปเล่นนอกเกมใช้แขนขวาฟาดไปที่หน้าของ ลูกัส ตอร์เรยร่า และเคร็ก พอว์สันไม่ลังเลเดินมาไล่กัปตันทัพแตนออกทันที

    นาที 19 วัตฟอร์ด เกือบได้ลูกตีเสมอบ้าง จากฟรีคิกกลางสนามวางยาวมาถึง คริสเตียน กาบาเลเซ่ ก่อนกระเด้งมาเข้าเท้าขวา เคร็ก แคธคาร์ท หวดเต็มเท้าเสาแรกแต่บอลยังติดเซฟของ แบร์นด์ เลโน่ ช่วยทีมไว้ได้

    อีก 5 นาทีต่อมา มาฟโรปานอส แนวรับอาร์เซน่อลเข้าบอลพรวดเสียเหลี่ยมให้ อังเดร เกรย์ ได้บอลกระชากถึงเส้นหลังก่อนปาดมาหน้าประตูจะถึง อับดูลาย ดูกูเร่ อยู่แล้วแต่ นาโช่ มอนเรอัล ยังไวสกัดบอลออกไปพ้นอันตรายได้ทัน

    นาที 26 ไอ้ปืนใหญ่ตอบโต้มาอย่างทันควัน บอลขึ้นทาง อเล็กซ์ อิโวบี้ ได้บอลทางขวาก่อนลากตัดอัดไปติดแนวรับเจ้าถิ่น บอลมาเข้าทางปีกไนจีเรียอีกหนก่อนซัดด้วยขวาเต็มเท้าไปติดเซฟของ เบน ฟอสเตอร์ ปัดออกหลังไปได้

    นาที 32 แบร์นด์ เลโน่ ต้องออกแรงเซฟช่วยอาร์เซน่อลอีกหน เมื่อ เอเตียน กาปู ปั่นฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษบอลพุ่งจะเสียบเสาแรกอยู่แล้วแต่อดีตนายด่านเลเวอร์คูเซ่นยังพุ่งปัดออกไปหวุดหวิด

    จบครึ่งแรก วัตฟอร์ด ตามหลัง อาร์เซน่อล 0-1

    ครึ่งหลัง อูไน เอเมอรี่ ปรับหมากถอดเอา ลูกัส ตอร์เรยร่า ออกแล้วส่ง เมซุต โอซิล ลงเล่นแทน

    นาที 55 เฮนริค มคิทาร์ยาน ที่ครึ่งแรกดูเงียบได้โอกาสสับไกนอกกรอบแต่บอลไปติดแข้งเจ้าถิ่นก่อนบอลจะลอยโด่งไปถึงเบน ฟอสเตอร์รับไว้ได้

    อีกสองนาทีถัดมา อาร์เซน่อล พลาดโอกาสทองอีกครั้ง หลังบอลสวนกลับ อเล็กซ์ อิโวบี้ กระชากพาบอลขึ้นทางขวาก่อนเปิดถวายพานให้ มคิทาร์ยาน วิ่งมายิงจ่อๆแต่ไปติดตัวของ ฟอสเตอร์ เซฟช่วยทีมได้อย่างเหลือเชื่อ

    นาที 62 แฟนเจ้าถิ่นหวิดได้เฮกันลั่น เมื่อ อับดูลาย ดูกูเร่ ได้บอลนอกกรอบก่อนไหลให้ อดัม มาซิน่า แบ็กซ้ายวิ่งมาหวดด้วยซ้ายเต็มข้อบอลพุ่งจะเสียบสามเหลี่ยมอยู่แล้วแต่เหินไปชนคานอย่างน่าเสียดาย

    อาร์เซน่อล ยังใช้โอกาสค่อนข้างเปลือง นาที 76 กรานิต ชาคา ได้ซัดด้วยซ้ายนอกรอบแต่บอลยังเบาไปเข้ามือ เบน ฟอสเตอร์


    นาที 80 เจ้าถิ่นชวดโอกาสตีเสมออีกหน หลัง อันเดร เกรย์ หลุดเข้าไปแตะบอลหลบ เลโน่ ได้แล้วแต่จังหวะล้มตัวยิงไปติดตัวของ เมทแลนด์-ไนลส์ ที่ตามมาบล็อกออกหลังแบบหวุดหวิด

    ช่วงเวลาที่เหลือไม่สามารถทำประตูเพิ่มเติมได้ จบเกม อาร์เซน่อล บุกมาคว้าชัยเหนือ วัตฟอร์ด ที่เหลือแค่ 10 คน 1-0 เก็บสามแต้มพร้อมขยับแซงทั้ง แมนฯยูไนเต็ด และเชลซี ขึ้นไปรั้งอันดับ 4 มี 66 คะแนนเท่ากับ "สิงห์บลูส์" แต่ลูกได้เสียดีกว่า

    รายชื่อผู้เล่นที่ะลงสนาม

        วัตฟอร์ด (4-4-2) : เบน ฟอสเตอร์ - ดาริล ยานมัต, เคร็ก แคธคาร์ท, คริสเตียน กาบาเลเซ่, อดัม มาซิน่า (เคน เซม่า น.86) - กีโก้ เฟเมเนีย (อิซัค ซัคเซสส์ น.59), อับดูลาย ดูกูเร่, เอเตียน กาปู, วิลล์ ฮิวจ์ส - อันเดร เกรย์, ทรอย ดีนี่ย์ (ใบแดง น.11)

    ผู้จัดการทีม : ฆาบี้ กราเซีย

    อาร์เซน่อล (4-2-3-1) : แบร์นด์ เลโน่ - ชโคดราน มุสตาฟี่, โลร็องต์ กอสซิแอลนี่, คอนสแตนตินอส มาฟโรปานอส (มัตเตโอ เกนดูซี่ น.59), นาโช่ มอนเรอัล - กรานิต ชาคา ,ลูกัส ตอร์เรยร่า (เมซุต โอซิล น.46) - เฮนริค มคิทาร์ยาน, อารอน แรมซี่ย์ (เอนสลี่ย์ เมทแลนด์-ไนลส์ น.68), อเล็กซ์ อิโวบี้ - ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง

    ผู้จัดการทีม : อูไน เอเมอรี่

        ผู้ตัดสิน : เคร็ก พอว์สัน

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th 

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2562

ไม่ใช่อาซาร์-ป็อกบา! เผยแข้งมูลค่าสูงสุดพรีเมียร์ลีก แมนยูเซอร์ไพรส์

ไม่ใช่อาซาร์-ป็อกบา "ซีไออีเอส" ได้เปิดเผยนักเตะที่มีมูลค่ามากสุดในเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แต่จะเป็นใครนั้น ลองดูกัน... 

ไม่ใช่อาซาร์-ป็อกบา     ซีไออีเอส ฟุตบอล อ็อบเซิร์ฟวาทอรี่ (CIES Football Observatory) หน่วยงานวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับวงการฟุตบอล ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจไม่น้อย โดยระบุว่า แฮร์รี่ เคน กองหน้าคนเก่งของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เป็นผู้เล่นที่มีมูลค่าสูงสุดในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งถูกมองว่ามีค่าหัวอยู่ที่ 171 ล้านปอนด์ (ประมาณ 7,011 ล้านบาท)

    ทั้งนี้ "ซีไออีเอส" ได้มีการประเมินมูลค่าผู้เล่นแต่ละคนของทั้ง 20 สโมสรในเวที พรีเมียร์ลีก และได้คัดออกมาสโมสรละหนึ่งคนที่มีมูลค่าสูงสุด ซึ่งปรากฎว่า เคน เป็นนักเตะที่มีมูลค่าสูงสุดในทีม "ไก่เดือยทอง" พร้อมกับครองเบอร์หนึ่งในลีกด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจมากนัก


    ส่วนอันดับสองตกเป็นของ ราฮีม สเตอร์ลิง ปีกจอมพลิ้วของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีมูลค่าสูงถึง 161 ล้านปอนด์ (ประมาณ 6,601 ล้านบาท) ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดาวยิง ลิเวอร์พูล ตามมาติดๆ ที่อันดับสาม 160 ล้านปอนด์ (ประมาณ 6,560 ล้านบาท)

    สำหรับอันดับสี่ถือว่าเซอร์ไพรส์เลยทีเดียว เมื่อ ซีไออีเอส มองว่า โรเมลู ลูกากู เป็นนักเตะที่มีมูลค่าสูงสุดของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เหนือสองแข้งดาวดังเพื่อนร่วมทีมอย่าง ปอล ป็อกบา และ ดาบิด เด เคอา ด้วยซ้ำ โดย ลูกากู มีค่าหัวอยู่ที่ 137 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,617 ล้านบาท) และข้างล่างนี้คือบทสรุปทั้ง 20 อันดับ

    1. แฮร์รี่ เคน (ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์) - 171 ล้านปอนด์ (ประมาณ 7,011 ล้านบาท)

    2. ราฮีม สเตอร์ลิง (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) - 161 ล้านปอนด์ (ประมาณ 6,601 ล้านบาท)

    3. โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล) - 160 ล้านปอนด์ (ประมาณ 6,560 ล้านบาท)

    4. โรเมลู ลูกากู (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) - 137 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,617 ล้านบาท)

    5. เอแด็น อาซาร์ (เชลซี) - 105 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,305 ล้านบาท)

    6. ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง (อาร์เซน่อล) - 72 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,952 ล้านบาท)

    7. ริชาร์ลิซอน (เอฟเวอร์ตัน) - 71 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,911 ล้านบาท)

    8. เดแคลน ไรซ์ (เวสต์แฮม ยูไนเต็ด) - 60 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,460 ล้านบาท)

    9. ยูรี ตีเลอมองส์ (เลสเตอร์ ซิตี้, ยืมตัวจาก อาแอส โมนาโก) - 52 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,132 ล้านบาท)

    10. อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช (ฟูแล่ม) - 43 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,763 ล้านบาท)

    11. รูเบน เนเวส (วูล์ฟแฮมป์น วันเดอเรอร์ส) - 40 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,640 ล้านบาท)

    12. นาธาน อาเก้ (บอร์นมัธ) - 35 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,435 ล้านบาท)

    13. วิลฟรีด ซาฮา (คริสตัล พาเลซ) - 33 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,353 ล้านบาท)

    14. นาธาน เรดมอนด์ (เซาธ์แฮมป์ตัน) - 32 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,312 ล้านบาท)

    15. เคราร์ด เดวโลเฟว (วัตฟอร์ด) - 32 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,312 ล้านบาท)

    16. เจมส์ ทาร์คอฟสกี้ (เบิร์นลี่ย์) - 21 ล้านปอนด์ (ประมาณ 861 ล้านบาท)

    17. เชน ดัฟฟี่ (ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน) - 18 ล้านปอนด์ (ประมาณ 738 ล้านบาท)

    18. จามาล ลาสเซลล์ส (นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด) - 16 ล้านปอนด์ (ประมาณ 656 ล้านบาท)

    19. เทเรนซ์ คองโกโล่ (ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์) - 15 ล้านปอนด์ (ประมาณ ล้านบาท)

    20. จอช เมอร์ฟี่ (คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้) - 12 ล้านปอนด์ (ประมาณ 492 ล้านบาท)

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2562

สิงห์รอขย้ำ! เชลซีโรเตชั่นมี"ชิรูด์"บุกซัลโวสลาเวียปรากศึก ยูโรปา

สิงห์รอขย้ำ เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือ เชลซี ผลงานเริ่มร้อนแรง

สิงห์รอขย้ำ หลัง ชนะ 3 นัดติด จนขยับขึ้นมาอยู่บนอันดับ 3 ของตารางพรีเมียร์ลีก ความพร้อมเกมนี้อาจมีการ โรเตชั่น แดนหน้ามี โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ล่าสกอร์ ส่วนทาง เจ้าถิ่น ยินดิช เทอร์ปิซอฟสกี้ เทรนเนอร์ สลาเวีย ปราก ขอสู้ไม่ถอย ส่ง มิโรสลาฟ สต็อช นำบู๊สู้ ในศึกฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรปา ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดแรก คืนวันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน นี้
ปรีวิวฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรปา ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดแรก
วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2562
สลาเวีย ปราก (เช็ก) - เชลซี (อังกฤษ)
เวลา : 02.00 น. super sport 5
สนาม : ซิโนโบ สเตเดี้ยม

    ยินดิช เทอร์ปิซอฟสกี้ เทรนเนอร์สลาเวีย ปราก พาทีมเข้ารอบนี้ หลังฝ่าด่านเซบีย่าด้วยประตูรวม 6-5 ก่อนถล่มดุ๊คล่า ปราก 5-1 ในเกมลีกล่าสุด เป็นชัยชนะ 2 นัดติด

    สภาพทีมเกมนี้ จะได้วาดิเมียร์ คูฟัล พ้นโทษแบนกลับมา แต่ก็ต้องแลกด้วย โทมัส ซูเช็ค ที่โดนพักแข้งสวนทางกลับไป จึงน่าจะเป็นโอกาสของ โยเซฟ ฮุสเบาเออร์

    ส่วนแกนหลักรายอื่นๆ อย่าง มิโรสลาฟ สต็อช และ มิลาน สโคด้า 2 ตัวหลักในเกมรุกยังพร้อมช่วยทีมเหมือนเดิม

    หลังบ้านวาง 3 เซนเตอรืแบ้กคอยสกัดกั้นไม่ว่าจะเป็น ออนเดรจ์ คูเดล่า, มิชาแอล เอ็นกาเดอ และ เอ็นกัดฌุย, ซิมง เดลี่   

    ด้าน เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือเชลซี พาทีมเข้ารอบนี้ หลังฝ่าด่านดินาโม เคียฟ ด้วยประตู 8-0 ก่อนชนะเวสต์แฮม 2-0 ในเกมลีกล่าสุด เป็นชัยชนะ 3 นัดติด จนขยับขึ้นมาอยู่บนอันดับ 3 ของตารางพรีเมียร์ลีกแล้ว


    สภาพทีมเกมนี้ ซาร์รี่ต้องรอเช็กความฟิตของมาร์กอส อลอนโซ่ และ เอธาน แอมพาดู ที่ไม่สมบูรณ์

    แต่ด้วยการที่มีเกมลีกนัดสำคัญกับลิเวอร์พูลรออยู่ในสุดสัปดาห์ ก็ทำให้ซาร์รี่อาจจำเป็นต้องโรเตชั่น เปิดโอกาสให้พวกสำรองอย่างวิลเลี่ยน, เปโดร โรดริเกซ, โอลิเวอร์ ชิรูด์, รอสส์ บาร์คลี่ย์, อันเดรียส คริสเตนเซ่น, มาเตโอ โควาซิช และ ดาวิเด้ ซัปปาคอสต้า ได้ออกสตาร์ทเกมนี้

    ส่วน เอแด็น อาซาร์ ที่ฟอร์มเข้าฝักในเกมล่าสุดมีโอกาสสูงที่จะได้พักก่อน ไว้คอยสแตนด์บายข้างสนาม 

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม       

    สลาเวีย ปราก (3-5-1-1) : ออนเดรจ์ โคลาร์ - ออนเดรจ์ คูเดล่า, มิชาแอล เอ็นกาเดอ-เอ็นกัดฌุย, ซิมง เดลี่ - วลาดิเมียร์ ซูฟัล, อิบราฮิม ตราโอเร่, โยเซฟ ฮุสเบาเออร์, อเล็กซ์ คราล, ยาน โบริล - มิโรสลาฟ สต็อช - มิลาน สโคด้า 

    เทรนเนอร์ : ยินดริช เทอร์ปิซอฟสกี้ 

    เชลซี (4-3-3) : เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า - ดาวิเด้ ซัปปาคอสต้า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, อันเดรียส คริสเตนเซ่น, มาร์กอส อลอนโซ่ - เอ็นโกโล่ ก็องเต้, มาเตโอ โควาซิช, รอสส์ บาร์คลี่ย์ - เปโดร โรดริเกซ, โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์, วิลเลี่ยน

    เทรนเนอร์ : เมาริซิโอ ซาร์รี่

ผู้ตัดสิน : เฟลิกซ์ ซวาเยอร์ (เยอรมัน)

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2562

สกิลขั้นเทพ! อาซาร์โชว์เบิ้ลพาเชลซีทุบเวสต์แฮม แซงไก่-ปืนรั้งอันดับ 3

สกิลขั้นเทพ เอแด็น อาซาร์ โชว์ฟอร์มสุดโหดเหมาคนเดียวสองประตู 

สกิลขั้นเทพหลังเลี้ยงบอลกว่า 40 หลาแหวกแนวรับขุนค้อนเข้าไปซัดขึ้นนำ และยิงปิดกล่องนาทีสุดท้ายให้ เชลซี เปิดรังทุบ เวสต์แฮม 2-0 คว้าสามแต้มแซง สเปอร์ส และอาร์เซน่อล ขึ้นไปรั้งอันดับ 3 มี 66 คะแนน ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา
สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์

    ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก นัดที่ 33 เมื่อวันจันทร์ที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา "สิงห์บลูส์" ทีมอันดับ 5 ที่คว้าชัยมาสองเกมติดต่อกัน เปิดบ้านทำศึก "ลอนดอน ดาร์บี้" รับมือ เวสต์แฮม ทีมอันดับ 11 ของตาราง

    เกมนี้หากลูกทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ เก็บสามแต้มได้จะแซงทั้ง อาร์เซน่อล และสเปอร์ส ขึ้นอันดับ 3 ทันที ขณะที่ "ขุนค้อน" ต้องการแต้มเพื่อการันตีไม่ต้องไปหนีตายในโซนท้ายตาราง

    ซึ่งเจ้าถิ่นเกมนี้ส่ง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงร่วมกับ รูเบน ลอฟตัส-ชีค โดยมี กอนซาโล่ อิกวาอิน หน้าเป้าและ เอแด็น อาซาร์ คอยสนับสนุน ส่วนทางฝั่งเวสต์แฮม ฝากความหวังไว้ที่ มาร์โค อาร์เนาโตวิช และ ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ"ชิชาริโต้"

    เกมเปิดฉากมาเป็นเจ้าถิ่นที่ครองเกมได้มากกว่า นาที 11 อันเจโล่ อ็อกบอนน่า แนวรับขุนค้อนรับใบเหลืองแรกของเกมไป หลังไปฟาวล์ใส่ เอแด็น อาซาร์ จากจังหวะโต้กลับนอกเขตโทษ ก่อนที่ เอเมอร์สัน แบ็กซ้ายบราซิเลี่ยนจะปั่นบอลข้ามคานออกไป

    นาที 16 "สิงห์บลูส์" ได้ลุ้นส่องไกลหนที่สองคราวนี้ ก็องเต้ โชว์สกิลพลิกบอลหลบด้วยขวาก่อนลากเข้าไปอัดด้วยซ้ายบอลพุ่งเสยคานออกไปแบบได้ลุ้น



    นาที 24 แฟนเจ้าบ้านฮือฮาทั่วเดอะ บริดจ์ หลัง เอแด็น อาซาร์ โชว์ลีลาเลี้ยงบอลขั้นเทพจากกลางสนามผ่าน มาร์ก โนเบิ้ล เดแคลน ไรซ์ ก่อนจะล็อกหลบคู่เซ็นเตอร์ บับบูเอน่า และอ็อกบอนน่า เข้าไปซัดด้วยซ้ายผ่านตัว ฟาเบียนสกี้ ที่ได้แต่ยืนมองเข้าไปอย่างเหนือชั้น พา "สิงห์บลูส์" ชิงขึ้นนำไปก่อน 1-0  และเป็นประตูที่ 15 ในซีซั่นนี้ของอาซาร์

    ท้ายเกม นาที 41 เจ้าถิ่นเกือบนำห่างอีกเม็ด จากจังหวะโต้กลับเร็วบอลมาถึง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย กระชากบอลเข้ากรอบก่อนยิงเสาแรกเต็มแรงแต่บอลยังไม่ผ่านมือ ฟาเบียนสกี้ ที่เซฟไว้ได้

    อีกสองนาทีต่อมา อิกวาอิน พลาดโอกาสยิงให้ทีมนำห่างแบบน่าเจ็บใจ หลังบอลจาก็องเต้ที่ครอสบอลเร็วมาให้ดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์พักอกแล้ววอลเลย์ไปติดปลายเท้า  ไรอัน เฟรเดอริคส์ ออกหลังไป

    จบครึ่งแรก เชลซี ขึ้นนำ เวสต์แฮม 1-0

    ครึ่งหลัง ทีมเยือนส่ง โรเบิร์ต สน็อดกราส์ ลงเล่นแทน ชิชาริโต้ แม้เกมยังแลกกันสนุก ทีมเยือนเริ่มตอบโต้และมีลุ้นมากขึ้น นาที 56 เฟลิเป้ อันแดร์สัน ลากตัดเข้ากลางแต่บอลยังไม่ผ่านมือ เกปา

    นาที 64 เวสต์แฮมกลับมาสร้างจังหวะเองบ้าง คราวนี้บอลจาก อันแดร์สัน ตักบอลเข้ากลางไปโดน รือดิเกอร์ โขกมาเข้าทาง อารอน เครสส์เวลล์ ด้วยซ้ายซัดบอลแรงถากเสาอออกไป


    จากนั้นไม่ถึงสองนาที เชลซี เกือบทิ้งห่างลูกที่สองบ้าง บอลจาก รูเบน ลอฟตัส-ชีค ทะลวงเข้ากลางประตู ก่อนแทงให้ อาซาร์ ที่เสียการทรงตัวแต่ยังล้มตัวยิงบอลเบาไปเข้ามือฟาเบียนสกี้

    นาที 70 เจ้าถิ่นส่ง รอสส์ บาร์คลี่ย์ ลงไปเล่นแทน รูเบน ลอฟตัส ชีค อีก 6 นาที ถอดเอา กอนซาโล ่อิกวาอิน ออกแล้วส่งโอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ลงเล่นแทน

    นาที 79 โอดอย ผ่านบอลจากเส้นหลังปาดไปหน้าปากประตูสุดเสียว แต่บอลพุ่งแรงชนิดที่ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ไล่ตามไม่ทัน

    นาที 83 ขุนค้อนชวดได้ลูกตีเสมอแบบน่าเสียดาย หลังบอลครอสมาเข้าหัว อาร์เนาโตวิช ขึ้นโขกเต็มแรงแต่บอลไปชนหลัง เอเมอร์สัน ออกหลังไปหวุดหวิด ถัดมาอีก 3 นาที ชิรูด์ ซัด้วยซ้ายไปติดมือของ ฟาเบียนสกี้ เซฟไว้ได้อีก

    นาทีสุดท้าย แนวรับของขุนค้อนมาพังอีกรอบ หลังรอสส์ บาร์คลี่ย์ ตัวสำรองจ่ายบอลให้ อาซาร์ ซัดด้วยขวาเสาแรกผ่านมือ ฟาเบียนสกี้ เข้าไป จบเกม เชลซี คว้าชัยเหนือ เวสต์แฮม 2-0 เก็บสามแต้มพร้อมมี 66 คะแนน แซงสเปอร์ส และอาร์เซน่อลขึ้นไปรั้งอันดับ 3 ของตาราง


       รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

        เชลซี (4-3-3) : เกปา อาร์รีซาบาลาก้า - เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, ดาวิด ลุยซ์, เอเมอร์สัน - เอ็นโกโล่ ก็องเต้, จอร์จินโญ่, รูเบน ลอฟตัส-ชีค (รอสส์ บาร์คลี่ย์ น.70) - คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย (เปโดร น.85), กอนซาโล่ อิกวาอิน (โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ น.76), เอแด็น อาซาร์

       ผู้จัดการทีม : เมาริซิโอ ซาร์รี่

        เวสต์แฮม (4-4-2) : ลูคัส ฟาเบียนสกี้ - ไรอัน เฟรเดอริคส์, ฟาเบียน บัลบูเอน่า, อันเจโล่ อ็อกบอนน่า, อารอน เครสส์เวลล์ - เฟลิเป้ อันแดร์สัน, มาร์ก โนเบิ้ล (เปโดร โอเบียง น.70), เดแคลน ไรซ์, มานูเอล ลันซินี่ - มาร์โค อาร์เนาโตวิช, ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ "ชิชาริโต้" (โรเบิร์ต สน็อดกราสส์ น.46)

       ผู้จัดการทีม : มานูเอล เปลเยกรีนี่

        ผู้ตัดสิน : คริส คาวานาฟ


ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2562

อายไหม! ลียงโคตรบู่พ่ายบ๊วยดิฌงคารัง พังยับ2เกมติดหนแรกซีซั่น

อายไหม เป็นฝันร้ายในรอบสัปดาห์สำหรับ โอลิมปิก ลียง หลังเพิ่งแพ้คาบ้านร่วงเฟร้นช์ คัพมาไม่กี่วัน

อายไหม ล่าสุดเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา เปิดบ้านแพ้ใหักับ ดิฌง ทีมบ๊วยของลีก 1-3 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่แพ้สองเกมติดในฤดูกาลนี้ แต่ทีมยังยึดอันดับ 3 ต่อไป ส่วนดิฌงเพิ่มโอกาสหนีตกชั้น ในศึกลีกเอิง ฝรั่งเศส เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา
สนาม : กรูปาม่า สตาเดี้ยม

    โอลิมปิก ลียง ทีมอันดับ 3 เปิด กรูปาม่า สตาเดี้ยม พบ ดิฌง ทีมบ๊วย ในลีก เอิง ฝรั่งเศส นัดที่ 31
   
    บรูโน่ เชเนซิโอ เทรนเนอร์ลียง  52 ปี ได้ แอนโธนี่ โลเปส นายทวารโปรตุเกสหายเจ็บบริเวณใบหน้า ลงเฝ้าเสาได้

     อองตวน กอมบูอาเร่ เทรนเนอร์ดิฌงวัย 55 ปี ขาด เฟรเดริก ซามมาริตาโน่ มิดฟิลด์ ติดโทษแบน 1 นัด อีกทั้งทีมมีนักเตะหลายคนบาดเจ็บ เขาส่ง แบ็งฌาแม็ง ฌานโน่ต์, ฮูลิโอ ตาวาเรส ยืนกองหน้าคู่กัน

    เกมครึ่งแรก ผ่านไปเพียง 37 วินาที ลียง นำ 1-0 อย่างรวดเร็ว มักซ์เวล กอร์กเน่ต์ เปิดจากกรอบเขตโทษฝั่งขวาให้ มาร์กแต็ง แตร์ริเย่ร์ ซัดเท้าขวาที่เสาแรกตุงตาข่าย นับเป็นประตูที่ 6 ของเขาในลีก เอิง ฤดูกาลนี้

    แต่นาทีที่ 3 ดิฌง ตีเสมอ 1-1 ฮูลิโอ ตาวาเรส โหม่งตั้งให้ เวสเล่ย์ ซาอิด ทำชิ่งกลับไปที่ ตาวาเรส จ่ายคืนให้ ซาอิด ยิงเท้าขวาระยะเผาขนเรียบร้อย ซึ่ง โยอัน อาแมล ผู้ตัดสินใช้วีเออาร์ ดูวีดีโอช่วยในการตัดสิน และให้ ทีมเยือนได้ประตู โดยชี้ว่า ตาวาเรส ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า

    จากนั้น ดิฌง พลิกกลับมานำ 2-1 นาทีที่ 7 เวสเล่ย์ ซาอิด ยิงเท้าซ้ายจากนอกกรอบเขตโทษฝั่งขวาบอลไปโดน มาร์เซโล่ เซนเตอร์แบ็กลียงสกัดบอลเข้าประตูตัวเอง

    เจ้าถิ่นบุกหนัก นาที 21 นาบิล เฟคีร์ เปิดลูกเตะมุมเข้ามาหน้าประตู มาร์เซโล่ ขึ้นโหม่งเผาขนติด รูนาร์ อเล็กซ์ รูนาร์สสัน นายทวารดิฌงเซฟได้บนเส้นประตู

    จบครึ่งแรก ดิฌง นำ 2-1

    ในครึ่งหลัง ทีมเยือนนำห่างเป็น 3-1 นาที 65 ฟวด ชาฟิค เปิดบอลจากนอกกรอบเขตโทษไปเข้าทาง เวสเล่ย์ ซาอิด ผ่านบอลจากกรอบเขตโทษฝั่งขวาไปโดน ราฟาเอล แบ็กซ้ายลียงสกัดบอลเข้าประตูตัวเอง


    ท้ายเกม นาที 84 นาบิล เฟคีร์ กัปตันทีมโอแอลสังหารฟรีคิกระยะ 25 หลา ไปติด รูนาร์สสัน เซฟอยู่หมัด

    จบเกม ดิฌง พลิกล็อคบุกมาต้อน โอลิมปิก ลียง 3-1

    รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม 

    โอลิมปิก ลียง : แอนโธนี่ โลเปส - เลโอ ดูบัวส์, มาร์เซโล่, เจสัน เดนาเยอร์, ราฟาเอล - อุสเซม อาอูอาร์, ลูก้าส์ ตูซาร์ (ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล่ น.62) - มักซ์เวล กอร์กเน่ต์, นาบิล เฟคีร์ (กัปตันทีม), มาร์กแต็ง แตร์ริเย่ร์ (แบร์กทร็องด์ ตราโอเร่ น.74) - มุสซา เด็มเบเล่ (เมมฟิส เดอปาย น.62)

   
    ดิฌง : รูนาร์ อเล็กซ์ รูนาร์สสัน - ฟวด ชาฟิค (มิกกาแอล อัลฟงส์ น.85), เซดริก ย็อมเบเร่, เวสเล่ย์ โลโตอา (กัปตันทีม), อุสซาม่า อั๊ดดาดี้ - โรแม็ง อมาลฟิตาโน่, ฟลอร็องต์ บัลมงต์, จอร์ดาน มาริเอ้, เวสเล่ย์ ซาอิด (ควอน ชาง-ฮุน น.90) - แบ็งฌาแม็ง ฌานโน่ต์ (โซรี่ กาบา น.83), ฮูลิโอ ตาวาเรส

    ผู้ตัดสิน : โยอัน อาแมล

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

ซูเปอร์ซับเฮนโด้-ซาลาห์ยิงประตูที่50! ลิเวอร์พูลบี้เซาธ์ฯท้ายเกม แซงเรือคืนจ่าฝูง

ซูเปอร์ซับเฮนโด้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมกลายเป็นซูเปอร์ซับหลังลงมาสำรองโขกต่อให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โซโล่เดี่ยวเข้าไปซัดประตูแรกในรอบ 9 เกม

 

ซูเปอร์ซับเฮนโด้ ประตูที่ 50 ในพรีเมียร์ลีก ก่อนที่ห้องเครื่องทีมชาติอังกฤษจะมาซัดปิดกล่องให้ ลิเวอร์พูล บุกไปคว้าชัยเหนือเซาธ์แฮมป์ตัน 3-1 พร้อมพาทีมหยิบสามแต้มมี 82 คะแนน แซงแมนฯซิตี้2แต้มขึ้นนำเป็นจ่าฝูง แต่หงส์แข่งมากกว่าหนึ่งนัด ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา
สนาม : เซนต์ แมรี่ส์ สเตเดี้ยม

    ราล์ฟ ฮาเซ่นฮึทเทิ่ล กุนซือ "นักบุญ" พาทีมคว้าชัยมา 2 เกมติด แมตช์นี้กลับมาเฝ้ารังเปิด เซนต์ แมรี่ส์ รับการมาเยือนของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ทีมฟอร์มร้อนที่คว้าชัย 4 เกมติดทุกรายการ และเกมนี้หากบุกมาเก็บสามแต้มได้จะแซง "เรือใบสีฟ้า" แมนฯซิตี้ นำจ่าฝูงทันที

    โดยทางฝั่ง เซาธ์แฮมป์ตัน เกมนี้เน้นมารัดกุมจัดเซ็นเตอร์แบ็กสามราย เกมรุกสามตัวจัด เชน ลอง, เนธาน เร้ดมอนด์ และ เจมส์ วอร์ด-เพราส์

    ส่วน เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนสองตำแหน่งจากเกมที่เฉือนสเปอร์ส พัก เจมส์ มิลเนอร์ และจอร์แดน เฮนเดอร์สัน เป็นสำรองแล้วส่ง นาบี เกอิต้า และ ฟาบินโญ่ ปั้นเกมตรงกลางร่วมกับ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม ส่วนสามประสานยังเหมือนเดิม โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และซาดิโอ มาเน่


    เจ้าถิ่นเริ่มได้อย่างยอดเยี่ยม เพียงแค่ นาทีที่ 9 มาชิงขึ้นนำ "หงส์แดง" ไปก่อน 1-0 จากจังหวะที่ ไรอัน เบอร์ทรานด์ เปิดบอลทางด้านซ้ายไปให้ ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก โขกบอลเสยไปถึง เชน ลอง ที่ยืนโล่งๆ แปด้วยขวาสวนตัว อลีสซง เสียบมุมซ้ายของประตูเข้าไป

    นาที 15 เป็นโอกาสได้ลุ้นของฝั่ง "หงส์แดง" บ้าง โม ซาลาห์ ที่จังหวะแรกยิงไม่ได้ม้วนตัวก่อนเปิดด้วยซ้ายมากลางประตูให้ ซาดิโอ มาเน่ เทกตัวโขกลงพื้นแต่บอลไม่ห่าง แอนกุส กันน์ เซฟออกไปแม้ นาบี เกอิต้า จะตามซ้ำด้วยซ้ายแต่บอลไปเข้าข้างตาข่าย


    นาที 19 เกมรับของลิเวอร์พูล เล่นกันพลาดเมื่อ อลีสซง เล่นสั้นหน้าประตูตัวเองให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เปิดบอลไปติด เนธาน เร้ดมอนด์ ก่อนบอลจะมาถึง ไรอัน เบอร์ทรานด์ ครอสสเลียดเข้าไปถึง เชน ลอง ยิงไม่ดีบอลพุ่งผ่านหน้าประตู แต่ดีที่ ฟาน ไดค์ ตามมาเคลียร์บอลทิ้งไปได้

    กระทั้ง นาที 36 "หงส์แดง" มาตามตีเสมอ 1-1 จนได้ บอลต่อเนื่องจากจังหวะที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ครอสสให้ โม ซาลาห์ โขกไม่โดนเลยมาเข้าเท้า เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เปิดด้วยขวามาเสาไกลให้ นาบี เกอิต้า โถมขึ้นโขกสุดแรงบอลพุ่งลงเส้นแม้ แอนกุส กันน์ จะพุ่งปัดได้แต่บอลไปชนเสาเข้าประตูไป



    ก่อนหมดเวลาแค่นาทีเดียว ทีมเยือนได้เสียวอีก จากจังหวะที่ เทรนท์ อาร์โนลด์ ทุ่มบอลให้ ซาลาห์ ไขว้บอลลงให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ซัดด้วยขวาบอลติดไซด์ออกหลังประตูไปอย่างน่าเสียดาย

    จบครึ่งแรก เซาธ์แฮมป์ตัน เสมอกับ ลิเวอร์พูล 1-1
   
    ครึ่งหลัง แข้งนักบุญเปิดเกมรุกเข้าใส่ นาที 53 จากความผิดพลาดของทัพหงส์ โดน แยน วาเลรี่ ตัดบอลได้ก่อนไหลเร็วให้ เชน ลอง ซัดไกลนอกกรอบบอลเหินข้ามคานไป

    นาที 57 แฟนนักบุญเกือบใจเสีย เมื่อ นาบี เกอิต้า พาบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนโดน มายะ โยชิดะ พุ่งสไลด์มาขวาง ผู้ตัดสินพอล เทียร์นี่ย์ไม่ว่าอะไร

    อีกสองนาทีต่อมา เจอร์เก้น คล็อปป์ แก้เกมเปลี่ยนรวดเดียวสองคนถอดเอา เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และจอร์จินโย่ ไวนัลดุม ออกแล้วส่ง เจมส์ มิลเนอร์ กับจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงเล่นแทน


    นาที 62 ทัพหงส์เดินหน้าลุยเต็มสูบ บอลขึ้นทาง มาเน่ กระชากบอลถึงเส้นหลังทางซ้ายก่อนตบเข้ากลางให้ ฟีร์มีโน่ วิ่งมายิงไม่ดีหลุดกรอบออกไป

    ทีมเยือนพยายามอย่างหนัก ไล่บี้โหมบุกเข้าเจ้าถิ่น แต่จังหวะสุดท้ายยังขาดๆเกินๆ นาที 77 เจมส์ มิลเนอร์ ตักบอลมาเสาสองให้ ฟีร์มีโน่ ขึ้นโขกแต่บอลเสียจังหวะหลุดออกหลังไป

    กลายเป็น "หงส์แดง" มาเฮในช่วง 10 นาทีสุดท้าย จากจังหวะโต้กลับหน้าปากประตูตัวเอง เฮนเดอร์สัน โขกต่อให้ โม ซาลาห์ ใช้ความเร็วควบบอลจากแดนตัวเองขึ้นไปก่อนจะตัดสินใจซัดด้วยซ้ายข้างถนัดบอลพุ่งเสียบมุมขวามือประตูเข้าไปให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 2-1 ซึ่งเป็นประตูแรกในรอบ 9 เกมทุกรายการ อีกทั้งยังเป็นประตูที่ 50 ในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ


    เท่านั้นไม่พอ นาที 86 "หงส์แดง" มาได้ประตูหนีห่างเป็น 3-1 จากจังหวะสวนกลับบอลขึ้นทาง ฟีร์มีโน่ ก่อนที่ดาวยิงบราซิเลี่ยนจะปาดบอลไปในกรอบโล่งๆให้ เฮนเดอร์สัน วิ่งมายิงเข้าไปง่ายๆ

    จบเกม ลิเวอร์พูล บุกมาคว้าชัยเหนือ เซาธ์แฮมป์ตัน แบบสนุก 3-1 เก็บสามแต้มพร้อมแซง แมนฯซิตี้ ขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง มี 82 คะแนนมากกว่า "เรือใบ" สองแต้ม ส่วน เซาธ์แฮมป์ตัน ยังรั้งอันดับ 16 มี 33 คะแนนมากกว่า คาร์ดิฟฟ์ โซนตกชั้นแค่ 5 คะแนน



        รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

       เซาธ์แฮมป์ตัน (3-4-3) : แอนกุส กันน์ - แยน เบดนาเร็ค, มายะ โยชิดะ, ยานนิค เวสเตอร์การ์ด (ชาร์ลี ออสติน น.83) - แยน วาเลรี่, โอริโอล โรเมว (สจ๊วร์ต อาร์มสตรอง น.83), ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก, ไรอัน เบอร์ทรานด์ - เจมส์ วอร์ด-เพราส์, เชน ลอง (โจชัว ซิมส์ น.62), เนธาน เร้ดมอนด์

        สำรองไม่ได้ใช้: อเล็กซ์ แม็คคาร์ธี่ย์, แมตต์ ทาร์เก็ตต์, แจ็ค สตีเฟ่นส์, แซม กัลลาเกอร์

        ผู้จัดการทีม : ราล์ฟ ฮาเซ่นฮึทเทิ่ล

        ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลีสซง เบ็คเกอร์ - เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (จอร์แดน เฮนเดอร์สัน น.59), โฌแอล มาติป, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน - นาบี เกอิต้า (เดยัน ลอฟเรน น.88), ฟาบินโญ่, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม (เจมส์ มิลเนอร์ น.59) - โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่

        ผู้จัดการทีม : เจอร์เก้น คล็อปป์

        สำรองไม่ได้ใช้: ซิมง มิโญเลต์, ดิว็อค โอริกี้, อัลแบร์โต้ โมเรโน่, เซอร์ดาน ชากิรี่

        ผู้ตัดสิน : พอล เทียร์นี่ย์

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2562

โอยาร์ซาบัล ฮีโร่!โซเซียดาดเฉือนเบติส,เลกาเนสเฮทดเวลา

โอยาร์ซาบัล มิเกล โอยาร์ซาบัล รับบทฮีโร่ซัดประตูชัยช่วย เรอัล โซเซียดาด เฉือนชนะ เรอัล เบติส 2-1


โอยาร์ซาบัล ขณะที่ เลกาเนส เปิดบ้านไล่เบียดหวิว เรอัล บายาโดลิด 1-0 ในศึกฟุตบอล ลา ลีกา สเปน เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 4 เม.ย. ที่ผ่านมา
    การแข่งขันฟุตบอล ลา ลีกา สเปน คู่ระหว่าง เรอัล โซเซียดาด เปิดบ้านพบ เรอัล เบติส ผลปรากฏว่าเป็นเจ้าถิ่นที่เฉือนชนะไปด้วยสกอร์ 2-1



     เรอัด โซเซียดาด ได้ประตูขึ้นนำก่อน 1-0 จากลูกเตะมุม มิเกล โอยาร์ซาบัล เปิดโค้งไปที่บริเวณจุดโทษเป็น ฆวนมี่ ที่หนีตัวประกบฉีกออกมาแปบอลแบบกระดอนลงพื้นผ่านมือ เปา โลเปซ ผู้รักษาประตูเบติสที่ถูกผู้เล่นทีมเดียวกันบังอยู่เข้าไป

    ครึ่งหลังกลับเป็น เบติส ตีเสมอเป็น 1-1 นาทีที่ 56 คริสเตียน เตโย่ หลุดขึ้นไปทางฝั่งซ้ายแล้วตวัดเปิดบอลย้อนไปที่จุดนัดพบให้ เซร์คิโอ กานาเลส วิ่งเข้ามาแปง่ายดายเข้าไป


    แต่แล้วนาทีที่ 83 โซเซียดาด มาได้ประตูชัย 2-1 ฆวนมี่ ตักบอลโด่งข้ามแผงหลังเบติสเลยไปถึง มิเกล โอยาร์ซาบัล ล้มตัวแปเข้าไประยะเผาขน และจบเกมลงที่ผลสกอร์ดังกล่าว 

    ขณะที่อีกคู่ เลกาเนส เปิดถิ่นเฉือนเก็บชัยเหนือ เรอัล บายาโดลิด 1-0 ด้วยประตูชัยประตูโทนช่วงชดเชยเวลาการแข่งขันนาทีที่ 90+6 จากจังหวะเติมเกมรุกขึ้นมาทางริมเส้นฝั่งขวาของ ฆวนฟราน ก่อนเปิดบอลโด่งโค้งไปที่เสาไกลและเป็น กุยโด้ การ์รีโย่ ขึ้นโขกเต็มหัวไม่เหลือ


ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th

วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2562

ดราม่ายิงกัน9เม็ด! บาเยิร์น10คนหวิดดวงแตกเบียดไฮเดนไฮม์ ฉลุยเดเอฟเบ

ดราม่ายิงกัน9เม็ด "เสือใต้" เกือบเอาตัวไม่รอดในบ้านตัวเองหลังครึ่งแรกเป็นฝ่ายตามหลัง ไฮเดนไฮม์ แถมต้องเหลือ 10 คน

ดราม่ายิงกัน9เม็ด เมื่อ นิคลาส ซือเล่ โดนไล่ออก ทว่าครึ่งหลัง บาเยิร์น ปรับหมากก่อนสกอร์จะพลิกไปพลิกมาสุดดราม่า  โรเบิร์ต กลัตเซล เหมาแฮตทริกให้อาคันตุกะ แต่สุดท้ายฮีโร่กลายเป็น โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ยิงประตูที่สองในเกมนี้ ซัดจุดโทษเป็นประตูชัยให้ทีมซิวชัยหวุดหวิด 5-4  ตีตั๋วผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศ ศึกเดเอฟเบ โพคาล เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา
สนาม : อัลลิอันซ์ อารีน่า

    ศึก เดเอฟเบ โพคาล รอบ 8 ทีมสุดท้าย "เสือใต้" รองแชมป์รายการนี้ หล่นมาเป็นรองจ่าฝูง บุนเดสลีกา หลังเกมล่าสุดในลีกทำได้แค่บุกไปเสมอกับ ไฟร์บวร์ก 1-1 ขณะที่ ไฮเดนไฮม์ ทีมอันดับ 6 ลีกา สอง เยอรมัน ฟอร์ม 5 เกมที่ผ่านมาชนะแค่นัดเดียวเท่านั้น และล่าสุดบุกไปเสมอกับ มักเดบวร์ก แบบไร้สกอร์ 0-0

    เกมนี้ นิโก้ โควัช พักโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ เป็นสำรองแล้วส่ง แซร์จ นาบรี้, โธมัส มุลเลอร์ และ ฟร้องค์ ริเบรี่ เป็นสามแนวรุกข้างหน้า ขณะที่ ไฮเดนไฮม์ ฝากความหวังล่าสกอร์ไว้ที่ โรเบิร์ต กลัตเซล

    ครึ่งแรก เปิดฉากมาได้แค่ 12 นาที "เสือใต้" มาได้ประตูขึ้นนำไปก่อน 1-0 จากจังหวะเตะมุมทางฝั่งซ้าย โยชัว คิมมิช เปิดมาเข้าหัว เลออน โกเร็ตซ์ก้า ที่ยืนโล่งๆ โขกกดพื้นผ่านตัว เควิน มุลเลอร์ นายด่านทีมเยือนเข้าไป


    แต่อีกสามนาทีต่อมา บาเยิร์น มิวนิค ต้องเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน เมื่อ นิคลาส ซือเล่ หลังเซ็นเตอร์แบ็กเจ้าถิ่นพุ่งเสียบ โรเบิร์ต แอนดริช หน้ากรอบกระโหลกของเสือใต้  กีโด้ วิงค์มันน์ ผู้ตัดสินเป่าให้ฟรีคิก ก่อนที่จังหวะต่อมาจะได้รับสัญญาณจากห้องควบคุม VAR ว่าเป็นจังหวะเข้าบอลอันตรายแล้ววิ่งมาแจกใบแดงให้ ซือเล่ ไล่ออกจากสนามไป

    ทำให้เจ้าถิ่นต้องปรับหมากส่ง เฌอโรม บัวเต็ง ลงไปคุมเกมรับแทน ฟร้องค์ ริเบรี่ ที่เป็นผู้โชคร้ายที่ถูกถอดออก

    นาที 26 ทีมเยือนที่ตัวมากกว่ามาไล่ตีเสมอ 1-1 สำเร็จจากจังหวะที่ มาร์ค ชเนตเตอเรอร์ ครอสบอลจากด้านขวาไปเสาสองให้ โรเบิร์ต กลัตเซล โขกบอลย้อนตัว อูลไรช์ ที่มาปิดเสาแรกบอลพุ่งเสียบเสาสองไปอย่างง่ายๆ

    เท่านั้นไม่พอ นาที 39 แฟนเสือใต้ต้องเงียบกันกริบ หลังไฮเดนไฮม์มาแซงขึ้นนำเป็น 2-1 จากจังหวะสวนกลับ เซบาสเตียน กรีสเบ็ค รับบอลแดนหน้าก่อนไหลออกทางขวาให้ มาร์ค ชเนตเตอเรอร์ วิ่งมากดด้วยขวาบอลพุ่งหนีมือ สเวน อูลไรช์ เข้าไปอย่างเด็ดขาด

    จบครึ่งแรก บาเยิร์น มิวนิค ที่เหลือ 10 คน ตามหลังไฮเดนไฮม์ 1-2

    ครึ่งหลัง นิโก้ โควัช ปรับแท็คติกเปลี่ยนสองคนรวดครบโควต้า ส่งทั้ง คิงสลี่ย์ โกมัน และโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ลงเล่นแทน ราฟินญ่า และฮาเมส โรดริเกซ

    และในนาที 53 "เสือใต้" มาตามตีเสมอ 2-2 จนได้บอลเริ่มจากคิมมิชครอสบอลมาหน้าปากประตูบอลโดนแข้งเสือใต้ลอยมาเข้าหัว เลวานดอฟสกี้ โขกหนุนเข้ากรอบไปให้ โธมัส มุลเลอร์ กลับตัววอลเลย์ด้วยขวาเข้าไปอย่างสวยงาม

     เจ้าถิ่นเล่นอย่างได้ใจ อีกสามนาทีต่อมามาแซงขึ้นนำเป็น 3-2 อย่างรวดเร็ว บอลจากจังหวะโต้เร็ว โกมัน พาบอลตัดเข้ากลางแล้วถ่ายให้ มุลเลอร์ ยืนโล่งๆทางซ้ายก่อนหักมาในกรอบ 6 หลาให้ เลวานดอฟสกี้ พุ่งสไลด์ด้วยขวาเข้าไป

    แม้จะเหลือแค่ 10 คน แต่บาเยิร์นครองเกมได้เกือบหมด กลายเป็นแนวรับไฮเดนไฮม์ที่เล่นกันรวน และนาที 65 มาเสียประตูที่สีให้เสือใต้ จากลูกเตะมุมของ ติอาโก้ เปิดมาเสาแรกให้ ฮุมเมิลส์ โขกบอลเช็ดมาเสาสองถึง แซร์จ นาบรี้ ที่ยืนโล่งๆไม่ล้ำหน้า ให้ บาเยิร์น นำห่าง 4-2

    ทว่า นาที 74 ไฮเดนไฮม์ โต้กลับมาเร็วบอลแทงมาถึง โรเบิร์ต กลัตเซล หัวหอกตัวเก่งก่อนจะจับบอลแล้วซัดด้วยขวาบอลพุ่งผ่าน อูลไรช์ เสียบมุมเข้าไป เป็นประตูที่สองของ กลัตเซล ในเกมนี้

    อีกสามนาทีต่อมาความดราม่ามาบังเกิด คราวนี้ อาคันตุกะ มาได้จุดโทษหลัง มัทส์ ฮุมเมิลส์ ไปดึง เมาริซ มุลต์ฮอยป์ในเขตโทษ ผู้ตัดสินเป่าเป็นจุดโทษและเป็น โรเบิร์ต กลัตเซล ที่ซัดเข้าไปไม่พลาด เป็นแฮตทริกของเจ้าตัวแถมพาไฮเดนไฮม์ตีเสมอ 4-4

    นาที 81 ทีมเยือนเกือบทำให้แฟนเจ้าถิ่นเงียบอีกรอบ เมื่อ เดนิส โธมาลล่า หลุดเข้าไปล่อเป้าแต่ยังยิงไปติดตัว อูลไรช์ แม้จังหวะต่อมา โรเบิร์ต แอนดริช จะได้กดหน้ากรอบซ้ำแต่ดีที่ บัวเต็ง ยังมาบล็อกบอลออกหลัง

    และจากจังหวะโต้ขึ้นมาของเจ้าถิ่น นาที 83 มาร์นอน บุช แนวรับไฮเดนไฮม์มาทำแฮนด์บอลเสียจุดโทษ ก่อนที่ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ จะซัดเข้าไปไม่เหลือ เป็นประตูที่สองของดาวยิงทีมชาติโปแลนด์ และพา "เสือใต้" พลิกขึ้นนำ 5-4

    ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มเติม จบเกม บาเยิร์น มิวนิค ที่เหลือ 10 คน บดเอาชนะไฮเดนไฮม์ไปอย่างใจหายใจชนิดหืดจับ 5-4 ผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศสำเร็จ

    รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

    บาเยิร์น มิวนิค (4-1-2-3) : สเวน อูลไรช์ - โยชัว คิมมิช, นิคลาส ซือเล่, มัทส์ ฮุมเมิลส์, ราฟินญ่า - ติอาโก้ อัลกันตาร่า - เลออน โกเร็ตซ์ก้า, ฮาเมส โรดริเกซ - แซร์จ นาบรี้, โธมัส มุลเลอร์, ฟร้องค์ ริเบรี่

    เทรนเนอร์ : นิโก้ โควัช

    ไฮเดนไฮม์ (4-3-2-1) : เควิน มุลเลอร์ - มาร์นอน บุช, แพทริค เมนก้า, ติโม เบียร์มันน์, นอร์แมน ธอยเออร์คอฟ - เซบาสเตียน กรีสเบ็ค, นิคลาส ดอร์ช, โรเบิร์ต แอนดริช - มาร์ค ชเนตเตอเรอร์, นิโกล่า โดเวแดน - โรเบิร์ต กลัตเซล

    เทรนเนอร์ : แฟร้งค์ ชมิดท์

    ผู้ตัดสิน : กีโด้ วิงค์มันน์

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.siamsport.co.th